10/20/2008

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ดองผัก ใช้ฆ่าวัชพืช ใช้ล้างเครื่องทำกาแฟ ใช้ขัดเงาเครื่องเงิน และใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ได้มีการนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือที่เรียกว่า "Apple Cider Vinegar" มาใช้ในการรักษาสุขภาพนอกเหนือจากการจำหน่ายเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร แต่ก็ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างแน่ชัด ถึงแม้ว่ากรณีศึกษาบางตัวได้บอกว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถช่วยรักษาหลายโรค เช่น เบาหวาน หรือ โรคอ้วน

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะสามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะเหมาะกับการทำความสะอาดคราบสกปรกเพียงแค่นั้น ต่อไปจะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คืออะไร?

น้ำส้มสายชูเกิดจากกระบวนการหมัก กระบวนการนี้จะเกิดจากการที่น้ำตาลในอาหารถูกทำให้แตกตัวโดยแบคทีเรียและยีสต์ ในขั้นแรกน้ำตาลจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ แล้วแอลกอฮอล์ก็จะหมักตัวต่อไปกลายเป็นน้ำส้มสายชู คำว่า ”vinegar” มาจากภาษาผรั่งเศส แปลว่า “ไวน์เปรี้ยว” โดยน้ำส้มสายชูหมักสามารถทำได้จากหลาย ๆ อย่าง เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ผัก และเมล็ดข้าว ส่วนน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นทำำจากแอปเปิ้ลบดละเอียด

ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูประเภทใด ๆ ก็ตามคือ กรดอะซิติก อย่างไรก็ตามส่วนประกอบของน้ำส้มสายชูก็จะมีกรดชนิดอื่น พร้อมทั้ง วิตามิน เกลือแร่และ อะมิโนเอซิดด้วย

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงหรือ

?

มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1950เป็นต้นมา หลังจากมีการเผยแพร่ในหนังสือที่ขายดีที่สุดเรื่อง Folk Medicine: A Vermont Doctor's Guide to Good Health by D. C. Jarvis. (หนทางสู่การมีสุขถาพดี โดย D.C. Jarvis) ในช่วงที่แพทย์ทางเลือกเป็นที่นิยมในช่วงที่ผ่านมา ยาที่ทำจากน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลก็เป็นอาหารเสริมยอดนิยมด้วยเช่นกัน

เมื่อดูจากฉลากอาหารเสริมหรือในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณจะได้เห็นสรรพคุณที่มากมายของมัน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้หลากหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเหา ทำใ้ห้ดูอ่อนเยาว์ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้นและล้างพิษออกจากร่างกาย

แต่การกล่าวอ้างส่วนใหญ่นี้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ถึงแม้บางกรณีศึกษาได้มีการพิสูจน์แล้ว เช่น น้ำส้มสายชูสามารถกำจัดเหาและรักษาหูดได้ แต่ในบางกรณีน้ำส้มสายชูอาจจะใช้ไม่ได้ดีเท่ากับการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น น้ำสัมสายชูช่วยฆ่าเชื้อโรคได้แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีเท่ากับน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป ในขณะที่น้ำสัมสายชูอาจจะช่วยแผลจากการโดนแมงกะพรุนกัด แต่น้ำร้อนช่วยได้ดีกว่า

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

ทั้งนี้ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในจุดประสงค์ต่าง ๆ ตามกรณีศึกษาบางตัว ดังนี้

  • การรักษาเบาหวาน

น้ำส้มสายชูมีผลต่อระดับกลูโคสในเลือดอาจจะเป็นการวิจัยที่ดีที่สุดที่สนับสนุนประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นไปได้ การศึกษา หลาย ๆ ชิ้นได้พบว่าน้ำส้มสายชู   อาจจะช่วยลดระดับกลูโคส เช่น ในปี 2007 ได้มีการศึกษากับกลุ่มคน 11 คน ซึ่งเป็นเบาหวานประเภท 2 พบว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะก่อนนอนจะช่วยลดระดับกลูโคสในตอนเช้า ประมาณ 4%-6% อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ทำนั้นได้ทดลองกับหนู จึงเร็วเกินไปที่จะทราบว่าจะได้ผลเช่นเดียวกันกับคนหรือไม่

  • คลอเรสเตอรอลสูง

ผลการศึกษาในปี 2006พบว่าน้ำส้มสายชูช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้

  • ความดันเลือดและปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ

การศึกษากับหนูพบว่าน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ความดันเลือดลดลง การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาพบว่าคนที่กินน้ำมันและน้ำส้มสายชูที่ีใส่ในน้ำสลัด 5 ถึง 6 ครั้งต่ออาทิตย์มีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กิน อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ได้พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าน้ำส้มสายชูจะเป็นสาเหตุหลักที่ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคดังกล่าว

  • มะเร็ง 

การทดลองในห้องแล็บพบว่าน้ำส้มสายชูอาจจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งหรือทำให้เซลล์เหล่านี้เติบโตช้า การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนยังคงเป็นที่สงสัย บางคนว่าการกินน้ำส้มสายชูจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่การศึกษาบางตัวบ่งว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

  • การลดน้ำหนัก

ในหลาย ๆ พันปีที่ผ่านมา น้ำส้มสายชูได้ถูกนำมาใช้ในการลดน้ำหนัก น้ำส้มสายชูขาว อาจจะช่วยให้รู้สึกอิ่ม ในการศึกษาเมื่อปี 2005กับคน 12 คน พบว่าคนที่ทานขนมปังกับน้ำส้มสายชูขาวปริมาณเล็กน้อยจะรู้สึกอิ่มกว่าและรู้สึกพึงพอใจมากกว่าคนที่กินแค่ขนมปัง

ในขณะที่ผลของการศึกษาบางกรณีทำกับสัตว์หรือเซลล์ในห้องแล็บ การทดลองกับคนเป็นเพียงการทดลองเพียงกลุ่มเล็ก ๆ และยังต้องอาศัยผลการศึกษาเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก

ควรจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร?

เนื่องจากยังไม่มีผลการพิสูจน์แน่ชัดว่าควรจะใช้อย่างไร บางคนจึงรับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะโดยเอาไปผสมกับน้ำหรือน้ำผลไม้ 1 ถ้วย หรือบางคนอาจจะทานเป็นแคปซูลซึ่งมีปริมาณ 285 มิลลิกรัม โดยในบางครั้งอาจจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลไปประยุกต์ใช้กับผิวหนังหรือใช้ในการสวนทวาร ซึ่งความปลอดภัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

มีข้อจำกัดในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในปริมาณน้อยดูไม่ค่อยจะเป็นปัญหา แต่การรับประทานในระยะเวลานาน ๆ หรือปริมาณมาก ๆ อาจมีความเสี่ยงได้ ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมีความเป็นกรดสูง ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลคือกรดอะซิติก ซึ่งค่อนข้างอันตราย การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจึุงควรจะมีการเจือจางกับน้ำหรือน้ำผลไม้ก่อนกลืน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลบริสุทธิ์จะทำลายเคลือบฟันและเนื้อเยื่อในช่องคอและปาก กรณีศึกษาหนึ่งได้พบว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นแคปซูลติดอยู่ในช่องคอ ซึ่งทำให้หลอดอาหารได้รับความเสียหาย น้ำส้มสายชูยังเป็นสาเหตุุที่ทำให้เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนังได้ด้วย
  • การใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนาน ๆ อาจทำให้ระดับโปแตสเซียมและมวลกระดูกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีระดับโปแตสเซียมต่ำอยู่แล้ว หรือเป็นโรคกระดูกพรุน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอาจจะส่งผลกับยาขับปัสสาวะ ยาระบาย หรือยาเกี่ยวกับเบาหวานและหัวใจ
  • สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีโครเมียมซึ่งสามารถทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายเปลี่ยนได้

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในรูปอาหารเสริมเป็นแคปซูล แทนที่จะรับประทานในรูปของเหลว จะทำให้มีความเสีี่ยงมากขึ้น เพราะอาหารเสริมเหล่านี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์การอาหารและยา และไม่มีการทดสอบถึงผลกระทบหรือความปลอดภัยของมัน ผลการวิจัยพบว่า

- ส่วนผสมที่ระบุบนกล่องมักไม่ตรงกับส่วนผสมจริงที่อยู่ในผลิตภัณฑ์

- ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันอย่างมาก

- ปริมาณที่แนะนำให้ใช้ในแต่ละยี่ห้อก็มีความแตกต่่างกันอย่างมากเช่นกัน

เราควรจะทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

คำตอบขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร ถ้าเป็นแค่ส่วนประกอบในน้ำสลัดก็สามารถทานได้ตามปกติ แต่ถ้าใช้ในการรักษาโรคก็อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการพิสูจน์ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูใด ๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ถ้าคุณกำลังคิดที่จะลองทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน แพทย์ของคุณจะได้พิจารณาว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นจะส่งผลต่อสภาพร่างกายหรือยาที่คุณรับประทานอยู่หรือไม่ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีในกรณีที่เราเลือกรับประทานเอง

Apple cider vinegar

Apple cider vinegar พูดเป็นไทยเราง่ายๆคือ น้ำแอปเปิ้ล ที่เติมน้ำตาลแล้วหมักให้เป็นน้ำส้มสายชูนั่นเอง
การใช้ของมัน มีการกล่าวอ้างว่า สามารถใช้รักษาโรคได้มากมายหลายอย่าง ซึ่งประวัติการใช้น้ำส้มสายชูเป็นยา มีมานานตั้งแต่สมัยยุค 10000 ปีที่แล้วทีเดียว การใช้ Apple cider vinegar เป็นยาวิเศษ เริ่มใน USA ตั้งแต่ยุค 1950's เมื่อมีหมอคนหนึ่ง มาบอกว่ามันมีประโยชน์ต่อคนไข้ของเขาในหลายๆเรื่อง
เราจะมาดูว่า ที่เขากล่าวอ้างกันนั้น มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงไร
1. ช่วยในการกำจัดพิษในร่างกายโดยการสร้างเซลล์ใหม่
- คงต้องถามกันก่อนว่าอะไรคือ พิษในร่างกาย อาหารหรือสิ่งที่เกิดจากการใช้พลังงาน หรือกระบวนการต่างๆในร่างกาย หลังจากที่เกิดพลังงานหรือสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว ก็จะเกิดเป็นสารประกอบชนิดอื่นๆ ซึ่งหลายตัว มีพิษต่อร่างกาย และร่างกายต้องขับออกไป
โดยปกติแล้ว ร่างกายเราสามารถกำจัดสารแปลกปลอมที่เกิดขึ้นนี้ได้แทบทุกชนิด ทั้งทางตับ ไต หรือทางลมหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องกินอะไรหรือทำอะไรเพื่อช่วยเลยครับ
ประเด็นการสร้างเซลใหม่ ก็ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษแต่อย่างใด
2.ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
- ลองบอกหน่อยซิครับ ว่ามันไปปรับอะไร ตรงไหน ยังไง ?? การกล่าวแบบนี้ เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ เหมือนนักการเมือง ที่ชอบบอกว่าประเทศไทยจะไม่มีคนจนอย่างนั้นแหละครับ
3. ช่วยในระบบเผาผลาญแคลเซียม
- ระดับแคลเซียมในร่างกายจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมน calcitonin ซึ่งการทำงานของมันก็ขึ้นกับ ระดับแคลเซียมในเลือดครับ ไม่จำเป็นต้องกินน้ำนี่เข้าไปแต่อย่างใด
4. ช่วยชะลอความชรา
- มีหลักฐานมั้ยครับ ว่ากินแล้วจะช่วยได้จริงๆ ถ้ามันทำได้จริง ป่านนี้พวกผลิตภัณฑ์ลบรอยเหี่ยวย่นทั้งหลายคงเจ๊งไปแล้ว
5. ช่วยปรับระดับกรด - ด่าง ในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล
- ใน Apple cider vinegar จะมีกรด acetic acid อยู่มาก จึงไม่ช่วยในเรื่องการปรับสภาพกรดแต่อย่างใด ใครที่มีกรดเยอะๆ (เช่น โรคกระเพาะ) กินแล้วอาจส่งผลเสียมากกว่าเดิมด้วย
และอีกอย่าง ร่างกายคนเราก็มีระบบที่จะปรับสภาวะกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยของพวกนี้แต่อย่างใด
6. ช่วยการทำงานของหัวใจ + ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ + บรรเทาอาการปวดศีรษะ + ช่วยในการขับถ่ายเป็นปรกติ + ช่วยกำจัดนิ่วในไต และในถุงน้ำดี + ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ +ช่วยในเรื่องของการฟังและปัญหาทางหู
+ ช่วยบำรุงสายตาและปัญหาเกี่ยวกับสายตา + ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปรกติ และโรคอื่นๆ

- กล่าวเลื่อนลอยเหมือนข้อ 2 เลยครับ ไม่มีหลักฐานการทดลองไหนที่บ่งบอกว่า การใช้น้ำนี่จะช่วยได้เลยครับ
7. ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
- ไม่ช่วยแต่อย่างใดครับ
กล่าวโดยสรุปแล้ว Apple cider vinegar นั้นเป็นเพียงแค่ความเชื่อเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายๆครั้ง ก็ไม่พบว่ามันจะช่วยหรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
มีการวิเคราะห์ว่า ใน Apple cider vinegar 1 ช้อนโต๊ะ จะมีสารอาหารเท่าใด พบว่า มันมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ (เช่น แคลเซียม เหล็ก ฯลฯ) อยู่ในปริมาณน้อยมาก และที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ไม่พบวิทามินและ fiber เลย จึงไม่น่าแปลกใจ ที่กินแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
สุดท้ายก็อย่าไปหลงกลพวกที่เอาของมาหลอกขายเลยครับ

น้ำผึ่ง : ยามหัศจรรย์ เพื่อสุขภาพ

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

น้ำผึ้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลักษณะของรังผึ้ง

น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์

น้ำผึ้งในตำรับยาไทย

เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

  • น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
  • น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง

ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ

น้ำผึ้งในตำรายาจีน

ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี

ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

หลากประโยชน์จากนมผึ้ง

นมผึ้ง

นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือ วุ้นนางพญา เป็นผลิตภัณฑ์จากรังผึ้ง มีลักษณะเป็นของเหลวข้น สีขาวครีม มีกลิ่นออกเปรี้ยว รสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน ซึ่งเป็นผึ้งที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนและป้อนอาหารให้แก่นางพญา นมผึ้งที่สร้างผลิตขึ้น จะกลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงให้ราชินีมีอายุยืนยาวและตัวอ่อนผึ้งเติบโตแข็งแรงต่อไป

นมผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดตามธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมน ทำให้กินอะไรเข้าไปร่างกายจะไม่ค่อยดูดซึม ร่างกายจึงผอมลง และหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อกินฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทนก็มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เราจึงแนะนำให้คนที่ผ่าตัดมดลูกลองกินนมผึ้งที่มีฮอร์โมนจากธรรมชาติ กินทีละน้อยร่างกายก็จะค่อยปรับไปตามธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผิวพรรณก็จะกลับมาผุดผ่องตามธรรมชาติ

สำหรับคนที่มีอาการเครียด นอนไม่หลับ และเป็นภูมิแพ้ว่าควรรับประทานนมผึ้งเพราะ ในนมผึ้งมีกรดที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ Decenonic acid ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยคลายเครียด และทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้นมผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด ที่สำคัญคือวิตามินบี ได้แก่ ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ฯลฯ ซึ่งเป็นสารจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของโปรตีน และเชื่อกันว่าเป็นวิตามินต่อต้านความเครียด รวมถึงกรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ซึ่งชนิดป้องกันโรคโลหิตจางได้ และยังมีอะเซตทิลคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของระบบประสาทในมนุษย์ และมีสารประกอบชีวเคมีไอโนซิทอล ซึ่งช่วยขจัดไขมันตกค้างในตับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

ผึ้งแต่ละรังจะผลิตนมผึ้งในปริมาณน้อย นมผึ้งจึงมีราคาสูง นมผึ้งสดๆ จะเก็บได้ไม่นาน จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะผลิตเป็นแคปซูล หากผลิตอย่างดีมีคุณภาพจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของนมผึ้งไว้

เกสรผึ้งสร้างความสดชื่น

เกสรผึ้ง

เกสรผึ้ง (Pollen) คือละอองเม็ดเล็กๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดจากการหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้นานาชนิด ผึ้งจะไปเก็บรวบรวมเกสรเหล่านี้มาผสมกับน้ำหวานของดอกไม้และทำเป็นก้อนเล็กๆ ติดมากับขา แล้วนำไปเก็บไว้ในรังเพื่อเป็นอาหารโปรตีนเลี้ยงตัวอ่อน

สำหรับเกสรผึ้งนั้น มีธาตุอาหารหลักคือ คาร์โบไฮเดรต 60 เปอร์เซ็นต์ กรดอะมิโน 20 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 7 เปอร์เซ็นต์ เกลือแร่ 6 เปอร์เซ็นต์ และน้ำ 7 เปอร์เซ็นต์

เกสรผึ้ง สามารถนำมาบำบัดโรคภูมิแพ้ ประเภทแพ้อากาศและฝุ่นละออง แต่หากแพ้เกสรดอกไม้ห้ามรับประทานเกสรผึ้งเพราะอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ รวมถึงคนที่เป็นโรครูมาติซั่ม รอบเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงร่างกายนักกีฬา ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย สร้างความกระฉับกระเฉง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำ

นอกจากนี้เกสรผึ้งยังเป็นสารฮอร์โมนธรรมชาติที่ช่วยกระตุ้น และบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ผู้ที่ไม่มีบุตรในวัยเจริญพันธุ์ อาจมีบุตรได้ เพราะเกสรผึ้งจะทำให้สตรีตกไข่ดีขึ้น และสร้างความแข็งแรงให้ตัวสเปิร์มและเพิ่มจำนวนตัวสเปิร์มด้วยเช่นกัน

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา

ลดการอักเสบ

หากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรืออบเชย ชาเสจ ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว) ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว

รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา

ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

ต้านข้ออักเสบ

ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก

กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

แก้นอนไม่หลับ

น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

บำรุงเลือด

เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

บรรเทาอากาไอ
ส่วนผสม

น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)

วิธีทำ

คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง

วิธีกิน

กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง

บำบัดเบาหวาน
ส่วนผสม

สาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม

วิธีทำ

ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด

วิธีกิน

ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้

ลดความดันโลหิตสูง

ส่วนผสม

น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม

วิธีทำ

ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง

วิธีกิน

ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก

ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

สำหรับผิวหน้าสดใส

ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม

หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

ทดสอบน้ำผึ้งแท้

น้ำผึ้ง

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้

  1. มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
  2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ
  3. มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
  4. ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
  5. ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
  6. ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
  7. การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน
  8. ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที

โน้ตบุ๊คจิ๋ว

โน๊ตบุ๊คจิ๋วที่เอามาเล่าให้ฟังกันวันนี้ คือ HP 2133 Mini-Note PC ของค่าย HP ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เห็นว่าราคาไม่แพงนัก เหมาะสำหรับเป็นสาว ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดยจากการที่ไปแอบดู spec ของเครื่องโน๊ตบุ๊ค HP รุ่นนี้มาแล้ว พบว่า spec ต่าง ๆ ใช้ได้ทีเดียว สามารถใช้งานจริงได้อย่างไม่เคอะเขิน

hp2133.jpg

แต่หากผมมัวแต่มาเขียน spec ยาวเป็นหางว่าว ให้สาว ๆ อ่านกัน คงได้ค้อนใส่ผมตาเขียว ดังนั้นขอเล่าคร่าว ๆ ว่าจุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้ อยู่ที่น้ำหนักครับ มันหนักเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัม โดยมีจอกว้างขนาด 8.9 นิ้ว ส่วน CPU ก็มีความเร็ว 1.6 GHz และ มีหน่วยความจำ 512 เมกะไบต์ (ไปจนถึง 2 กิกะไบต์ ขึ้นอยู่กับรุ่น) Harddisk ขนาด 120 กิกะไบต์ และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย และใช้ bluetooth ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ

ดูแล้วเครื่องโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา และ spec ขนาดนี้ เหมาะสำหรับนำไปใช้งาน presentation หรือเอาไปเขียน blog ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดจริง ๆ เลยครับ สำหรับสนนราคา เจ้าเครื่อง HP 2133 นี้เริ่มต้นที่ 19,900 บาท ไปจนถึงรุ่นสูงสุด จะอยู่ที่ราคาประมาณ 35,900 บาท

ประโยชน์น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไซเดอร์ วินิก้า


*แอปเปิ้ลไซเดอร์ เวนิก้า*
ทำโดยหมักน้ำผลไม้แอปเปิล อ็อกซิเจนในอากาศจะทำปฏิกริยาต่อกันโดยจะเปลี่ยนอัลกอฮอล์ไปเป็นกรดอาซีติค
ในระหว่างกระบวนการการหมัก จะเติมสารสำคัญเรียก “mother” เติมเพื่อเพิ่มความเร็วของขบวนการ
แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า คืออุดมไปด้วยวิตามินเช่นนั้น วิตามินC, E, B1, B2, B6, P, และเบต้าคาโรทีน
นอกจากนั้นยังมีเกลือแร่และ ธาตุที่มีน้อยเช่นนั้นโปตัสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส,เหล็ก และทองแดง.
โรคหลายโรคจำนวนมากมายช่วยบรรเทาโดยน้ำแอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า โดยการช่วย่ควบตุมดูแลการเผา
ผลาญพลังงานของคุณ ช่วยการลดน้ำหนัก ช่วยลดไขมันร้ายไขมันโคเลสเตอรอล ลดน้ำที่คั้งค้างในร่างกาย และ
ควบคุมดูแลความดันเลือด ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ผิวไหม้แดด ใช้แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า ทาโดยทั่วไปจะช่วยลด
ความเจ็บปวดนอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการคันเนื่องจากลมพิษหรือผื่นโดยการทาทั่วๆบริเวณที่เป็น
Benefits from Apple Cider Vinegar:
ประโยชน์ของแอปเปิ้ล ไซเดอร์ วีนิก้าต่อสุขภาพ
o Regulate blood pressure / ช่วยควบคุมและลดปัญหารเรื่องความดันโลหิตสูง
o Fight infection / ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
o Relieve Arthritis pain / ช่วยบรรเทาอาการปวดตามไขข้อ
o Promote Digestion / ช่วยเสริมและดูแลระบบย่อยอาหาร
o Improve Metabolism / ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญพลังงานสะสม
o Helps flush out the Gall Bladder
o Control Weight / ช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก
o Fight Osteoporosis /ช่วยป้องกันปัญหาโรคกระดูกพรุนในช่วงวัยทอง
o Maintain healthy skin / ช่วยเสริมสุขภาพของผิวหนัง
o Relieves sore throats, laryngitis / ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ระบบทางเดินหายใจ
o Soothes sunburn, shingles and bites / ช่วยบรรเทาอาการไหม้แดด แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำร้อนลวก
o Helps prevent dandruff, baldness and itching scalp / แก้อาการคันศีรษะ รังแค ช่วยบรรเทาอาการ
ผมร่วงง่าย
o Antibacterial and anti-fungal / ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา
o Gives the immune system a good boost / เสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
o High potassium electrolyte balancer, / ช่วยเสริมความสมดุลย์ของระบบอีเลคโทรไลต์ของร่างกาย
o Weight loss & suppressing the appetite, / ช่วยลดน้ำหนัก และลดความอยากอาหาร
o boosting the immune system, acts as antiseptic and antibiotic, เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
o rich source of amino acids & rich in vitamins & minerals, อุดมด้วยอมิโน แอซิด/วิตามิน/เกลือแร่
o helps digestion & improves metabolism, Burns Fat ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญ
พลังงานไขมันสะสมในร่างกาย
o decreasing cholesterol, arthritis & high blood pressure, ช่วยลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล
/ความดันโลหิตสูง / อาการปวดตามข้อ
o Good for circulation & Detoxifying the body, Cleans out toxins from tissues and joints
ช่วยการไหลเวียนโลหิต / ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
o stimulates thinking & slowing ageing process. ช่วยชลอการเสื่อมก่อนวัย กระตุ้มระบบความจำ
น้ำส้มสายชูหมัก ทานวันละ2-3ครั้งหลังอาหาร แค่2ช้อนชา
ทานกะน้ำผึ้ง1ช้อนชา ผสมน้ำหนึ่งแก้ว แล้วยกซดเลย