2/07/2009

A Week of Works

จะว่าไปสัปดาห์หนึ่ง สัปดาห์หนึ่ง ก็ผ่านไปเร็วเมื่อกันน่ะ สัปดาห์นี้ คนสั่งขนมเริ่มน้อยลงเยอะกว่าสัปดาห์ทีแล้ว ยอดขายหายไปหลายเงินที่เดี๋ยว แต่ก็ยังคงมีความว่นวายเยอะมาก

จะว่าไปแล้ว คู่แข่งขันก็มีมากขึ้น ราคาสินค้าก็แพงขึ้น ต้องคิดให้หนักก่อนที่จะทำอะไรลงไป

10/20/2008

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ดองผัก ใช้ฆ่าวัชพืช ใช้ล้างเครื่องทำกาแฟ ใช้ขัดเงาเครื่องเงิน และใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ได้มีการนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือที่เรียกว่า "Apple Cider Vinegar" มาใช้ในการรักษาสุขภาพนอกเหนือจากการจำหน่ายเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร แต่ก็ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างแน่ชัด ถึงแม้ว่ากรณีศึกษาบางตัวได้บอกว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถช่วยรักษาหลายโรค เช่น เบาหวาน หรือ โรคอ้วน

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะสามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะเหมาะกับการทำความสะอาดคราบสกปรกเพียงแค่นั้น ต่อไปจะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คืออะไร?

น้ำส้มสายชูเกิดจากกระบวนการหมัก กระบวนการนี้จะเกิดจากการที่น้ำตาลในอาหารถูกทำให้แตกตัวโดยแบคทีเรียและยีสต์ ในขั้นแรกน้ำตาลจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ แล้วแอลกอฮอล์ก็จะหมักตัวต่อไปกลายเป็นน้ำส้มสายชู คำว่า ”vinegar” มาจากภาษาผรั่งเศส แปลว่า “ไวน์เปรี้ยว” โดยน้ำส้มสายชูหมักสามารถทำได้จากหลาย ๆ อย่าง เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ผัก และเมล็ดข้าว ส่วนน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นทำำจากแอปเปิ้ลบดละเอียด

ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูประเภทใด ๆ ก็ตามคือ กรดอะซิติก อย่างไรก็ตามส่วนประกอบของน้ำส้มสายชูก็จะมีกรดชนิดอื่น พร้อมทั้ง วิตามิน เกลือแร่และ อะมิโนเอซิดด้วย

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงหรือ

?

มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1950เป็นต้นมา หลังจากมีการเผยแพร่ในหนังสือที่ขายดีที่สุดเรื่อง Folk Medicine: A Vermont Doctor's Guide to Good Health by D. C. Jarvis. (หนทางสู่การมีสุขถาพดี โดย D.C. Jarvis) ในช่วงที่แพทย์ทางเลือกเป็นที่นิยมในช่วงที่ผ่านมา ยาที่ทำจากน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลก็เป็นอาหารเสริมยอดนิยมด้วยเช่นกัน

เมื่อดูจากฉลากอาหารเสริมหรือในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณจะได้เห็นสรรพคุณที่มากมายของมัน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้หลากหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเหา ทำใ้ห้ดูอ่อนเยาว์ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้นและล้างพิษออกจากร่างกาย

แต่การกล่าวอ้างส่วนใหญ่นี้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ถึงแม้บางกรณีศึกษาได้มีการพิสูจน์แล้ว เช่น น้ำส้มสายชูสามารถกำจัดเหาและรักษาหูดได้ แต่ในบางกรณีน้ำส้มสายชูอาจจะใช้ไม่ได้ดีเท่ากับการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น น้ำสัมสายชูช่วยฆ่าเชื้อโรคได้แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีเท่ากับน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป ในขณะที่น้ำสัมสายชูอาจจะช่วยแผลจากการโดนแมงกะพรุนกัด แต่น้ำร้อนช่วยได้ดีกว่า

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

ทั้งนี้ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในจุดประสงค์ต่าง ๆ ตามกรณีศึกษาบางตัว ดังนี้

  • การรักษาเบาหวาน

น้ำส้มสายชูมีผลต่อระดับกลูโคสในเลือดอาจจะเป็นการวิจัยที่ดีที่สุดที่สนับสนุนประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นไปได้ การศึกษา หลาย ๆ ชิ้นได้พบว่าน้ำส้มสายชู   อาจจะช่วยลดระดับกลูโคส เช่น ในปี 2007 ได้มีการศึกษากับกลุ่มคน 11 คน ซึ่งเป็นเบาหวานประเภท 2 พบว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะก่อนนอนจะช่วยลดระดับกลูโคสในตอนเช้า ประมาณ 4%-6% อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ทำนั้นได้ทดลองกับหนู จึงเร็วเกินไปที่จะทราบว่าจะได้ผลเช่นเดียวกันกับคนหรือไม่

  • คลอเรสเตอรอลสูง

ผลการศึกษาในปี 2006พบว่าน้ำส้มสายชูช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้

  • ความดันเลือดและปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ

การศึกษากับหนูพบว่าน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ความดันเลือดลดลง การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาพบว่าคนที่กินน้ำมันและน้ำส้มสายชูที่ีใส่ในน้ำสลัด 5 ถึง 6 ครั้งต่ออาทิตย์มีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กิน อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ได้พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าน้ำส้มสายชูจะเป็นสาเหตุหลักที่ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคดังกล่าว

  • มะเร็ง 

การทดลองในห้องแล็บพบว่าน้ำส้มสายชูอาจจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งหรือทำให้เซลล์เหล่านี้เติบโตช้า การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนยังคงเป็นที่สงสัย บางคนว่าการกินน้ำส้มสายชูจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่การศึกษาบางตัวบ่งว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

  • การลดน้ำหนัก

ในหลาย ๆ พันปีที่ผ่านมา น้ำส้มสายชูได้ถูกนำมาใช้ในการลดน้ำหนัก น้ำส้มสายชูขาว อาจจะช่วยให้รู้สึกอิ่ม ในการศึกษาเมื่อปี 2005กับคน 12 คน พบว่าคนที่ทานขนมปังกับน้ำส้มสายชูขาวปริมาณเล็กน้อยจะรู้สึกอิ่มกว่าและรู้สึกพึงพอใจมากกว่าคนที่กินแค่ขนมปัง

ในขณะที่ผลของการศึกษาบางกรณีทำกับสัตว์หรือเซลล์ในห้องแล็บ การทดลองกับคนเป็นเพียงการทดลองเพียงกลุ่มเล็ก ๆ และยังต้องอาศัยผลการศึกษาเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก

ควรจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร?

เนื่องจากยังไม่มีผลการพิสูจน์แน่ชัดว่าควรจะใช้อย่างไร บางคนจึงรับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะโดยเอาไปผสมกับน้ำหรือน้ำผลไม้ 1 ถ้วย หรือบางคนอาจจะทานเป็นแคปซูลซึ่งมีปริมาณ 285 มิลลิกรัม โดยในบางครั้งอาจจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลไปประยุกต์ใช้กับผิวหนังหรือใช้ในการสวนทวาร ซึ่งความปลอดภัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

มีข้อจำกัดในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในปริมาณน้อยดูไม่ค่อยจะเป็นปัญหา แต่การรับประทานในระยะเวลานาน ๆ หรือปริมาณมาก ๆ อาจมีความเสี่ยงได้ ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมีความเป็นกรดสูง ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลคือกรดอะซิติก ซึ่งค่อนข้างอันตราย การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจึุงควรจะมีการเจือจางกับน้ำหรือน้ำผลไม้ก่อนกลืน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลบริสุทธิ์จะทำลายเคลือบฟันและเนื้อเยื่อในช่องคอและปาก กรณีศึกษาหนึ่งได้พบว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นแคปซูลติดอยู่ในช่องคอ ซึ่งทำให้หลอดอาหารได้รับความเสียหาย น้ำส้มสายชูยังเป็นสาเหตุุที่ทำให้เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนังได้ด้วย
  • การใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนาน ๆ อาจทำให้ระดับโปแตสเซียมและมวลกระดูกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีระดับโปแตสเซียมต่ำอยู่แล้ว หรือเป็นโรคกระดูกพรุน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอาจจะส่งผลกับยาขับปัสสาวะ ยาระบาย หรือยาเกี่ยวกับเบาหวานและหัวใจ
  • สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีโครเมียมซึ่งสามารถทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายเปลี่ยนได้

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในรูปอาหารเสริมเป็นแคปซูล แทนที่จะรับประทานในรูปของเหลว จะทำให้มีความเสีี่ยงมากขึ้น เพราะอาหารเสริมเหล่านี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์การอาหารและยา และไม่มีการทดสอบถึงผลกระทบหรือความปลอดภัยของมัน ผลการวิจัยพบว่า

- ส่วนผสมที่ระบุบนกล่องมักไม่ตรงกับส่วนผสมจริงที่อยู่ในผลิตภัณฑ์

- ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันอย่างมาก

- ปริมาณที่แนะนำให้ใช้ในแต่ละยี่ห้อก็มีความแตกต่่างกันอย่างมากเช่นกัน

เราควรจะทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

คำตอบขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร ถ้าเป็นแค่ส่วนประกอบในน้ำสลัดก็สามารถทานได้ตามปกติ แต่ถ้าใช้ในการรักษาโรคก็อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการพิสูจน์ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูใด ๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ถ้าคุณกำลังคิดที่จะลองทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน แพทย์ของคุณจะได้พิจารณาว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นจะส่งผลต่อสภาพร่างกายหรือยาที่คุณรับประทานอยู่หรือไม่ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีในกรณีที่เราเลือกรับประทานเอง

Apple cider vinegar

Apple cider vinegar พูดเป็นไทยเราง่ายๆคือ น้ำแอปเปิ้ล ที่เติมน้ำตาลแล้วหมักให้เป็นน้ำส้มสายชูนั่นเอง
การใช้ของมัน มีการกล่าวอ้างว่า สามารถใช้รักษาโรคได้มากมายหลายอย่าง ซึ่งประวัติการใช้น้ำส้มสายชูเป็นยา มีมานานตั้งแต่สมัยยุค 10000 ปีที่แล้วทีเดียว การใช้ Apple cider vinegar เป็นยาวิเศษ เริ่มใน USA ตั้งแต่ยุค 1950's เมื่อมีหมอคนหนึ่ง มาบอกว่ามันมีประโยชน์ต่อคนไข้ของเขาในหลายๆเรื่อง
เราจะมาดูว่า ที่เขากล่าวอ้างกันนั้น มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงไร
1. ช่วยในการกำจัดพิษในร่างกายโดยการสร้างเซลล์ใหม่
- คงต้องถามกันก่อนว่าอะไรคือ พิษในร่างกาย อาหารหรือสิ่งที่เกิดจากการใช้พลังงาน หรือกระบวนการต่างๆในร่างกาย หลังจากที่เกิดพลังงานหรือสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว ก็จะเกิดเป็นสารประกอบชนิดอื่นๆ ซึ่งหลายตัว มีพิษต่อร่างกาย และร่างกายต้องขับออกไป
โดยปกติแล้ว ร่างกายเราสามารถกำจัดสารแปลกปลอมที่เกิดขึ้นนี้ได้แทบทุกชนิด ทั้งทางตับ ไต หรือทางลมหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องกินอะไรหรือทำอะไรเพื่อช่วยเลยครับ
ประเด็นการสร้างเซลใหม่ ก็ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษแต่อย่างใด
2.ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
- ลองบอกหน่อยซิครับ ว่ามันไปปรับอะไร ตรงไหน ยังไง ?? การกล่าวแบบนี้ เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ เหมือนนักการเมือง ที่ชอบบอกว่าประเทศไทยจะไม่มีคนจนอย่างนั้นแหละครับ
3. ช่วยในระบบเผาผลาญแคลเซียม
- ระดับแคลเซียมในร่างกายจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมน calcitonin ซึ่งการทำงานของมันก็ขึ้นกับ ระดับแคลเซียมในเลือดครับ ไม่จำเป็นต้องกินน้ำนี่เข้าไปแต่อย่างใด
4. ช่วยชะลอความชรา
- มีหลักฐานมั้ยครับ ว่ากินแล้วจะช่วยได้จริงๆ ถ้ามันทำได้จริง ป่านนี้พวกผลิตภัณฑ์ลบรอยเหี่ยวย่นทั้งหลายคงเจ๊งไปแล้ว
5. ช่วยปรับระดับกรด - ด่าง ในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล
- ใน Apple cider vinegar จะมีกรด acetic acid อยู่มาก จึงไม่ช่วยในเรื่องการปรับสภาพกรดแต่อย่างใด ใครที่มีกรดเยอะๆ (เช่น โรคกระเพาะ) กินแล้วอาจส่งผลเสียมากกว่าเดิมด้วย
และอีกอย่าง ร่างกายคนเราก็มีระบบที่จะปรับสภาวะกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยของพวกนี้แต่อย่างใด
6. ช่วยการทำงานของหัวใจ + ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ + บรรเทาอาการปวดศีรษะ + ช่วยในการขับถ่ายเป็นปรกติ + ช่วยกำจัดนิ่วในไต และในถุงน้ำดี + ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ +ช่วยในเรื่องของการฟังและปัญหาทางหู
+ ช่วยบำรุงสายตาและปัญหาเกี่ยวกับสายตา + ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปรกติ และโรคอื่นๆ

- กล่าวเลื่อนลอยเหมือนข้อ 2 เลยครับ ไม่มีหลักฐานการทดลองไหนที่บ่งบอกว่า การใช้น้ำนี่จะช่วยได้เลยครับ
7. ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
- ไม่ช่วยแต่อย่างใดครับ
กล่าวโดยสรุปแล้ว Apple cider vinegar นั้นเป็นเพียงแค่ความเชื่อเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายๆครั้ง ก็ไม่พบว่ามันจะช่วยหรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
มีการวิเคราะห์ว่า ใน Apple cider vinegar 1 ช้อนโต๊ะ จะมีสารอาหารเท่าใด พบว่า มันมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ (เช่น แคลเซียม เหล็ก ฯลฯ) อยู่ในปริมาณน้อยมาก และที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ไม่พบวิทามินและ fiber เลย จึงไม่น่าแปลกใจ ที่กินแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
สุดท้ายก็อย่าไปหลงกลพวกที่เอาของมาหลอกขายเลยครับ

น้ำผึ่ง : ยามหัศจรรย์ เพื่อสุขภาพ

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

น้ำผึ้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลักษณะของรังผึ้ง

น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์

น้ำผึ้งในตำรับยาไทย

เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

  • น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
  • น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง

ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ

น้ำผึ้งในตำรายาจีน

ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี

ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

หลากประโยชน์จากนมผึ้ง

นมผึ้ง

นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือ วุ้นนางพญา เป็นผลิตภัณฑ์จากรังผึ้ง มีลักษณะเป็นของเหลวข้น สีขาวครีม มีกลิ่นออกเปรี้ยว รสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน ซึ่งเป็นผึ้งที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนและป้อนอาหารให้แก่นางพญา นมผึ้งที่สร้างผลิตขึ้น จะกลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงให้ราชินีมีอายุยืนยาวและตัวอ่อนผึ้งเติบโตแข็งแรงต่อไป

นมผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดตามธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมน ทำให้กินอะไรเข้าไปร่างกายจะไม่ค่อยดูดซึม ร่างกายจึงผอมลง และหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อกินฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทนก็มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เราจึงแนะนำให้คนที่ผ่าตัดมดลูกลองกินนมผึ้งที่มีฮอร์โมนจากธรรมชาติ กินทีละน้อยร่างกายก็จะค่อยปรับไปตามธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผิวพรรณก็จะกลับมาผุดผ่องตามธรรมชาติ

สำหรับคนที่มีอาการเครียด นอนไม่หลับ และเป็นภูมิแพ้ว่าควรรับประทานนมผึ้งเพราะ ในนมผึ้งมีกรดที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ Decenonic acid ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยคลายเครียด และทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้นมผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด ที่สำคัญคือวิตามินบี ได้แก่ ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ฯลฯ ซึ่งเป็นสารจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของโปรตีน และเชื่อกันว่าเป็นวิตามินต่อต้านความเครียด รวมถึงกรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ซึ่งชนิดป้องกันโรคโลหิตจางได้ และยังมีอะเซตทิลคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของระบบประสาทในมนุษย์ และมีสารประกอบชีวเคมีไอโนซิทอล ซึ่งช่วยขจัดไขมันตกค้างในตับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

ผึ้งแต่ละรังจะผลิตนมผึ้งในปริมาณน้อย นมผึ้งจึงมีราคาสูง นมผึ้งสดๆ จะเก็บได้ไม่นาน จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะผลิตเป็นแคปซูล หากผลิตอย่างดีมีคุณภาพจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของนมผึ้งไว้

เกสรผึ้งสร้างความสดชื่น

เกสรผึ้ง

เกสรผึ้ง (Pollen) คือละอองเม็ดเล็กๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดจากการหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้นานาชนิด ผึ้งจะไปเก็บรวบรวมเกสรเหล่านี้มาผสมกับน้ำหวานของดอกไม้และทำเป็นก้อนเล็กๆ ติดมากับขา แล้วนำไปเก็บไว้ในรังเพื่อเป็นอาหารโปรตีนเลี้ยงตัวอ่อน

สำหรับเกสรผึ้งนั้น มีธาตุอาหารหลักคือ คาร์โบไฮเดรต 60 เปอร์เซ็นต์ กรดอะมิโน 20 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 7 เปอร์เซ็นต์ เกลือแร่ 6 เปอร์เซ็นต์ และน้ำ 7 เปอร์เซ็นต์

เกสรผึ้ง สามารถนำมาบำบัดโรคภูมิแพ้ ประเภทแพ้อากาศและฝุ่นละออง แต่หากแพ้เกสรดอกไม้ห้ามรับประทานเกสรผึ้งเพราะอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ รวมถึงคนที่เป็นโรครูมาติซั่ม รอบเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงร่างกายนักกีฬา ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย สร้างความกระฉับกระเฉง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำ

นอกจากนี้เกสรผึ้งยังเป็นสารฮอร์โมนธรรมชาติที่ช่วยกระตุ้น และบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ผู้ที่ไม่มีบุตรในวัยเจริญพันธุ์ อาจมีบุตรได้ เพราะเกสรผึ้งจะทำให้สตรีตกไข่ดีขึ้น และสร้างความแข็งแรงให้ตัวสเปิร์มและเพิ่มจำนวนตัวสเปิร์มด้วยเช่นกัน

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา

ลดการอักเสบ

หากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรืออบเชย ชาเสจ ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว) ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว

รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา

ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

ต้านข้ออักเสบ

ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก

กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

แก้นอนไม่หลับ

น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

บำรุงเลือด

เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

บรรเทาอากาไอ
ส่วนผสม

น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)

วิธีทำ

คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง

วิธีกิน

กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง

บำบัดเบาหวาน
ส่วนผสม

สาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม

วิธีทำ

ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด

วิธีกิน

ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้

ลดความดันโลหิตสูง

ส่วนผสม

น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม

วิธีทำ

ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง

วิธีกิน

ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก

ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

สำหรับผิวหน้าสดใส

ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม

หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

ทดสอบน้ำผึ้งแท้

น้ำผึ้ง

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้

  1. มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
  2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ
  3. มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
  4. ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
  5. ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
  6. ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
  7. การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน
  8. ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที

โน้ตบุ๊คจิ๋ว

โน๊ตบุ๊คจิ๋วที่เอามาเล่าให้ฟังกันวันนี้ คือ HP 2133 Mini-Note PC ของค่าย HP ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เห็นว่าราคาไม่แพงนัก เหมาะสำหรับเป็นสาว ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดยจากการที่ไปแอบดู spec ของเครื่องโน๊ตบุ๊ค HP รุ่นนี้มาแล้ว พบว่า spec ต่าง ๆ ใช้ได้ทีเดียว สามารถใช้งานจริงได้อย่างไม่เคอะเขิน

hp2133.jpg

แต่หากผมมัวแต่มาเขียน spec ยาวเป็นหางว่าว ให้สาว ๆ อ่านกัน คงได้ค้อนใส่ผมตาเขียว ดังนั้นขอเล่าคร่าว ๆ ว่าจุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้ อยู่ที่น้ำหนักครับ มันหนักเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัม โดยมีจอกว้างขนาด 8.9 นิ้ว ส่วน CPU ก็มีความเร็ว 1.6 GHz และ มีหน่วยความจำ 512 เมกะไบต์ (ไปจนถึง 2 กิกะไบต์ ขึ้นอยู่กับรุ่น) Harddisk ขนาด 120 กิกะไบต์ และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย และใช้ bluetooth ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ

ดูแล้วเครื่องโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา และ spec ขนาดนี้ เหมาะสำหรับนำไปใช้งาน presentation หรือเอาไปเขียน blog ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดจริง ๆ เลยครับ สำหรับสนนราคา เจ้าเครื่อง HP 2133 นี้เริ่มต้นที่ 19,900 บาท ไปจนถึงรุ่นสูงสุด จะอยู่ที่ราคาประมาณ 35,900 บาท

ประโยชน์น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไซเดอร์ วินิก้า


*แอปเปิ้ลไซเดอร์ เวนิก้า*
ทำโดยหมักน้ำผลไม้แอปเปิล อ็อกซิเจนในอากาศจะทำปฏิกริยาต่อกันโดยจะเปลี่ยนอัลกอฮอล์ไปเป็นกรดอาซีติค
ในระหว่างกระบวนการการหมัก จะเติมสารสำคัญเรียก “mother” เติมเพื่อเพิ่มความเร็วของขบวนการ
แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า คืออุดมไปด้วยวิตามินเช่นนั้น วิตามินC, E, B1, B2, B6, P, และเบต้าคาโรทีน
นอกจากนั้นยังมีเกลือแร่และ ธาตุที่มีน้อยเช่นนั้นโปตัสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส,เหล็ก และทองแดง.
โรคหลายโรคจำนวนมากมายช่วยบรรเทาโดยน้ำแอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า โดยการช่วย่ควบตุมดูแลการเผา
ผลาญพลังงานของคุณ ช่วยการลดน้ำหนัก ช่วยลดไขมันร้ายไขมันโคเลสเตอรอล ลดน้ำที่คั้งค้างในร่างกาย และ
ควบคุมดูแลความดันเลือด ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ผิวไหม้แดด ใช้แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า ทาโดยทั่วไปจะช่วยลด
ความเจ็บปวดนอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการคันเนื่องจากลมพิษหรือผื่นโดยการทาทั่วๆบริเวณที่เป็น
Benefits from Apple Cider Vinegar:
ประโยชน์ของแอปเปิ้ล ไซเดอร์ วีนิก้าต่อสุขภาพ
o Regulate blood pressure / ช่วยควบคุมและลดปัญหารเรื่องความดันโลหิตสูง
o Fight infection / ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
o Relieve Arthritis pain / ช่วยบรรเทาอาการปวดตามไขข้อ
o Promote Digestion / ช่วยเสริมและดูแลระบบย่อยอาหาร
o Improve Metabolism / ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญพลังงานสะสม
o Helps flush out the Gall Bladder
o Control Weight / ช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก
o Fight Osteoporosis /ช่วยป้องกันปัญหาโรคกระดูกพรุนในช่วงวัยทอง
o Maintain healthy skin / ช่วยเสริมสุขภาพของผิวหนัง
o Relieves sore throats, laryngitis / ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ระบบทางเดินหายใจ
o Soothes sunburn, shingles and bites / ช่วยบรรเทาอาการไหม้แดด แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำร้อนลวก
o Helps prevent dandruff, baldness and itching scalp / แก้อาการคันศีรษะ รังแค ช่วยบรรเทาอาการ
ผมร่วงง่าย
o Antibacterial and anti-fungal / ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา
o Gives the immune system a good boost / เสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
o High potassium electrolyte balancer, / ช่วยเสริมความสมดุลย์ของระบบอีเลคโทรไลต์ของร่างกาย
o Weight loss & suppressing the appetite, / ช่วยลดน้ำหนัก และลดความอยากอาหาร
o boosting the immune system, acts as antiseptic and antibiotic, เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
o rich source of amino acids & rich in vitamins & minerals, อุดมด้วยอมิโน แอซิด/วิตามิน/เกลือแร่
o helps digestion & improves metabolism, Burns Fat ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญ
พลังงานไขมันสะสมในร่างกาย
o decreasing cholesterol, arthritis & high blood pressure, ช่วยลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล
/ความดันโลหิตสูง / อาการปวดตามข้อ
o Good for circulation & Detoxifying the body, Cleans out toxins from tissues and joints
ช่วยการไหลเวียนโลหิต / ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
o stimulates thinking & slowing ageing process. ช่วยชลอการเสื่อมก่อนวัย กระตุ้มระบบความจำ
น้ำส้มสายชูหมัก ทานวันละ2-3ครั้งหลังอาหาร แค่2ช้อนชา
ทานกะน้ำผึ้ง1ช้อนชา ผสมน้ำหนึ่งแก้ว แล้วยกซดเลย

7/25/2008

ทายใจ ดูดวง ของขวัญ จาก หวานใจ



อยากรู้ ดวง หรือ ทำนายดวง ของตัวเอง แต่ไม่มีเวลาไปให้ หมอดี หรือ โหร ดูดวง ให้ ทำไงดีละเนี่ย …อ่ะ อ่ะ ไม่ต้องเสียใจกันค่ะ เพราะวันนี้ เรามี คำทำนาย หรือ ดูดวง จาก ของขวัญ จากหวานใจ มาให้อ่านถึงที่บ้านกันเลย ใคร อยากรู้ว่า ตัวเองมี ดวง ชะตา แบบไหน ก็คลิกอ่านที่นี่เลย
ตุ๊กตา
ถ้าได้รับตุ๊กตาจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณยังเป็นเด็กอยู่มาก เค้ามีความรู้สึกว่า เค้าเป็นพี่ชายคุณ ความรักของคุณเป็นความรักที่เอื้ออาทรกันค่ะ
ดอกไม้
ถ้าได้รับดอกไม้จากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณมีความเป็นกุลสตรีมากๆ เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงและเค้าอยากปกป้องคุณค่ะ
น้ำหอม
ถ้าได้รับน้ำหอมจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง (ค่อนข้างสูง) และเค้าอยากให้คุณอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
เสื้อผ้า
ถ้าได้รับเสื้อผ้าจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจชอบที่จะเห็นคุณใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ และเค้าก็เป็นคนที่เอาแต่ใจตัว (เล็กๆ)
ชุดนอน
ถ้าได้รับชุดนอนจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจคุณเอาใจใส่คุณมากและอยากให้คุณคิดถึงเขาแม้ยามหลับค่ะ
แหวน กำไล สร้อยข้อมือ
ถ้าได้รับสิ่งเหล่านี้จากหวานใจ นั่นแสดงความเป็นเจ้าของคุณแล้วล่ะค่ะ และเค้าคนนั้นก็เป็นคนขี้หึงซะด้วยค่ะ
หนังสือ
ถ้าได้รับหนังสือจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเค้าเห็นคุณเป็นคนที่รักการอ่าน และตัวเขาเองก็รักการอ่านเช่นกัน ความรักของคุณเป็นความรักที่คอยช่วยเหลือกันค่ะ

แต่งสวยหน้าใส วันสำคัญ



ช่วงนี้ไปทางไหนหลายมหาวิทยาลัยก็ได้ยินแต่เสียงเฮเสียงบูม ร่วมแสดงความยินดีกับเหล่ารุ่นพี่บัณฑิตที่ตบเท้าเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกันเป็นแถว นำพาความปลื้มปิติไปถึงกลุ่มญาติสนิทมิตรสหายและบรรดาครอบครัวที่เดินทางมาร่วมถ่ายรูปแสดงความยินดีอย่างตลอดสาย

เอาล่ะ! ไหนๆ ก็ถึงวันแห่งเกียรติยศของชีวิตทั้งที แม้จะเหน็ดเหนื่อยเหงื่อตกกับอากาศร้อนขนาดไหนก็ตาม แต่เหล่าบัณฑิตทุกคนก็ยังคงยิ้มสู้กล้องชนิดนางงามยังอาย ฉะนั้นองค์ประกอบสำคัญของวันนี้ สิ่งหนึ่งจึงหนีไม่พ้นเรื่องของการตระเตรียมใบหน้าและการแต่งหน้าให้เหมาะสมกับวันรับปริญญา

ว่าแล้วว่าที่บัณฑิตทั้งหลายก็ลองติดตามเทคนิคการแต่งหน้าวันรับปริญญาที่เราเอามาฝากกันดู

เริ่มต้นที่ความเข้าใจกันก่อนเลยว่า สำหรับวันนี้ “เราควรแต่งหน้าให้ดูบางเบาเป็นธรรมชาติที่สุด” ควรจะทำให้ดูสวยสมวัยไม่ดูแก่ในสายตาของผู้ที่มาแสดงความยินดี แต่ต้องไม่อ่อนจนถ่ายรูปออกมาแล้วดูจืดสนิทเหมือนไม่แต่งหน้าเลย จากนั้นก็ต่อด้วยสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ คือเรื่องของครีมกันแดดที่จำเป็นต้องทาไว้ป้องกันผิวหนังคล้ำและทำให้เมคอัพติดทนนานได้

ส่วนเมคอัพที่ต้องติดทนนานตลอดทั้งวันนั้น คือ จะต้องนับตั้งแต่เช้ามืดที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้าไปจนถึงช่วงถ่ายรูปกลางแดดจัดจนกระทั่งถึงตอนงานพิธีในห้องประชุม การที่เราต้องสลับการเดินเข้าๆ ออกๆในที่ร่มและกลางแจ้งแบบนี้ทำให้การดูแลเมกอัพเป็นเรื่องยาก ควรจะซับมันบ้าง

กลับมาเรื่องของการแต่งหน้าเน้นดูเป็นธรรมชาติ คือการที่แต่งโดยไม่ต้องเน้นสีสันหรือแต่งหน้าแนวแฟชั่นอย่าเลือกสีรองพื้นหรือแป้งที่เข้มหรืออ่อนกว่าผิวจริง เพราะเวลาถ่ายรูปจะดูหลอกหน้าลอย อย่าลืมลงรองพื้นหรือทาแป้งที่ลำคอด้วย

โดยเราต้องเลือกรองพื้นแบบกันน้ำ หรือแบบที่ติดทนนานเป็นพิเศษ เพราะอากาศร้อน และเหงื่อจะออกมามากเน้นโทนสีน้ำตาล ซึ่งเหมาะกับสีผิวเราๆ พวกสีชมพูอมน้ำตาลหรือส้มอมน้ำตาลก็ใช้ได้เช่นกัน หรืออาจจะใช้เครื่องสำอางที่มีประกายมุกช่วยในจุดที่ต้องการเน้น เช่น ดวงตาหรือโหนกแก้ม

แต่ต้องระวังอย่าใช้ลิปสติกเป็นกลอสมากจนเกินไป เพราะเวลาถ่ายรูปออกมาแล้วดูไม่สวย และติดไม่ทนด้วย ส่วนสาวผิวคล้ำไม่แนะนำให้ใช้รองพื้นหรือแป้งสีอ่อน เพื่อให้หน้าดูสว่างขึ้น แต่ให้เล่นที่สีแต่งเปลือกตาหรือทาปาก เช่นใช้สีส้ม โทนสีพาสเทลประกายมุก หรือพวกน้ำตาลประกายทอง

ยังไงก็ตามถ้าไม่มั่นใจและไม่อยากแต่งหน้าเองก็ควรที่จะติดต่อมืออาชีพ มาช่วยโดยใช้บริการทำผมแต่งหน้า ตามร้านเสริมสวย ต้องย้ำสักนิดว่า ไม่เอาแบบ ”ไปออกงาน” เพราะทำแล้วเมกอัพจะมีลักษณะเข้มจัดแม้วันนี้จะเป็นวันที่เราอยากสวยก็จริง แต่การกล้าผมมวยสูงแบบเป็นทางการสุดๆจะดูแก่ไป และอย่าลืมให้เพื่อนสนิทหรือญาติสนิทคอยช่วยพกกระเป๋าเครื่องสำอางเล็กๆไว้เผื่อเราจะได้ซับหน้ายามฉุกเฉิน และประการด่านสุดท้าย คือ รอยยิ้ม “เราต้องยิ้มเข้าไว้” นั่นแหละ จะคือ เมคอัพที่สวยกว่าเมกอัพอะไรทั้งหมด เอ้า ใครอยากเป็นบัณฑิตที่มีหน้าตาสวยใส ไม่ซีดวันรับปริญญาก็ลองไปทำตามกันดูได้เลย

7/10/2008

มะเร็งเต้านมป้องกันได้

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูก อัตราเฉลี่ยของผู้หญิงที่เป็นโรคนี้คือ ๑ ใน ๙ ของผู้หญิงทั้งหมด มักเกิดในหญิงอายุ ๔๐ ปีขึ้นไปและพบมากในหญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อย หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ในทางระบาดวิทยาพบว่า อาหารที่มีไขมันสูงมีส่วนทำให้เกิดโรคได้ อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพียงดูแลตัวเองดังนี้
พักผ่อนอย่างเพียงพอ : การนอนหลับตั้งแต่ช่วงเวลา ๒๒๐๐ – ๐๖๐๐ จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Melatonin ซึ่งมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

รับประทานกรดโฟลิค ( Folic Acid ) : ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า ๒ แก้วต่อวัน หากไม่ได้รับกรดโฟลิคเสริม มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมสูงเนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต้านการทำงานของกรดโฟลิคในการสร้างสารดีเอ็นเอ ดังนั้นนักดื่มทั้งหลายหากงดรับประทานแอลกอฮอล์ไม่ได้ก็ควรเสริมกรดโฟลิคอย่างน้อย ๘๐๐ ไมโครกรัมต่อวัน

รับประทานถั่วเหลือง : ถั่วเหลืองมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมเนื่องจากถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ( Isoflavone ) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจนำถั่วเหลืองมาบริโภคโดยตรง หรือนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆก่อนบริโภคก็ได้

เสริมด้วยเมล็ดลินิน ( Flaxseed ) : เมล็ดลินินช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากเมล็ดลินินอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นกลุ่ม Omega – ๓ ไฟเบอร์ปริมาณสูง และสารลิกแนน ซึ่งเป็นส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดที่มีผลต่อต้านเซลล์มะเร็ง

เลือกรับประทานปลา : เนื่องจากกลุ่ม Omega – ๓ ที่พบในปลาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็ง จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม

ต้านภาวะการอักเสบ ( Anti inflammatory ) : การเกิดภาวะอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านภาวะอักเสบเช่น ขิง ขมิ้นชัน ชาเขียว หรือน้ำมันปลา อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม อีกทั้งอาหารเหล่านี้ไม่มีผลข้างเคียงกับระบบทางเดินอาหารเหมือนกับยาแอสไพริน ซึ่งฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นเดียวกัน แต่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
การบริโภคชาเขียว : ชาเขียวนอกจากจะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแล้วยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งอีกด้วย จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่า การบริโภคชาเขียวเป็นประจำ อาจเพิ่มอัตราการรอดชีวิต และลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเต้านมในระยะขั้นต้นได้

ข้อแนะนำ

ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตรวจคือ ๗ วันหลังจากมีประจำเดือน
หากพบสิ่งผิดปกติใดๆ บริเวณเต้านมควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมปีละ ๑ ครั้ง เมื่ออายุ ๓๐ ปีขึ้นไป
มะเร็งเต้านมรักษาหายขาดได้ หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก

6/27/2008

ของฝากสำหรับทุกท่านที่เคยเป็นแฟนกันและปัจจุบันเป็นสามี/ภรรยาแล้ว…….

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย Save name ว่า 'คิดถึงเหมือนกัน' แทนชื่อแฟนของคุณ
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย Save name ว่า 'คิดถึงนะ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ดแล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงนะ'
4. เช่นเดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงเหมือนกัน '

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท
เก็บเงินไว้พาแฟนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีกว่า

นั่นมันสำหรับแฟนกัน

ถ้าแต่งแล ้วต้องตามนี้เลย

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย Save name ว่า 'เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน' แทนชื่อเมีย
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย Save Nam e ว่า 'ติดประชุม(โว้ย)' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า 'เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน'
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'ติดประชุม(โว้ย)'

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท
แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน

5/30/2008

Jun Natsukawa

++++ Sexy Girl Pictures.***Japan Star Sexy --Beautiful girls***** Photo of actress sexy japan and Beautiful girl Teen***
Jun Natsukawa, born September 9, 1983, is a Japanese idol from Tokyo, Japan. In October 2005, she released a music cd titled Himetra Trance in which she covered the theme song from the anime Cat's Eye. She's made an appearance on the Japanese television show Pink no Idenshi, as a schoolgirl who falls in love with her teacher; and as herself on the reality show Geirinji. She's also been featured in a commercial for Kantan Kirei-na Fudeo.

How do I get a girl?

When I walk by a pretty girl, it makes my heart beat run faster.. And I think, 'Will she be the one? I really want to find love...'
Finding love isn't the issue this moment. It's finding the right girl. Honestly, there really isn't a right girl. Well, there is but it's more like girls. Yes, it is possible. Your ex's can be the right girl but that doesn't mean you're lost without them. Go out there and flirt! Places to out and get your 'thang' on are: the mall, the park, chat rooms, fast food restaurants, etc. Pretty much anywhere.
When you start flirting, there are things you should do.
1. Don't ever go up to her girl randomly and say, "Hey, sweet thang." I swear to God, you'd be the stupidest person there. You'd feel stupid too after she laughs at you and walks away or if she gives you a look that says, "What the **** is wrong with your crazy ass?" and inches away from you. Don't ever.
2. If she's with her friends, slyly walk past her, while trying to get her attention, with your head down a bit ( not all the way down because you'll look like you're really shy and depressed. ), glance at her and crookedly grin. I see it all the time and it makes me want to melt. It's ***y and it works all the time.
3. If you don't get her attention, don't walk back and fourth because it'll look like you're trying to to stalk her really badly. Just somehow walk back near her and drop something, and pick it up. It'll possibly get her attention. If she looks at you after the picking up the dropped object, glance up at her, smirk at your success and coolly say, "Hey."
4. If that didn't work, pick a different girl and do the same thing.
5. Once you're somehow in conversation with her, don't say things like, "You're a real ***y chick."

On Maturing and Style, Sixth to Ninth Grade!

Makeup and clothing is an issue for many preteens and teenagers. But its hard to know what to buy and what makeup to wear when the only things you are exposed to are either a few years older, or a few years younger than you. If you are stressing about what you should look like as a newcomer in middle school, or a freshie in high school, here's my guide to help your fasion mature with you throughout middle and high school.
In Sixth grade, it's good to wear lip gloss, some mascara, and maybe a little bit of pale eyeshadow; don't go too heavy or it may look bad. If you want to try out more types of makeup, keep that for experiments at home. As for clothes, keep it in your comfort level. But looking back, keep this in mind: If you are wearing a bra or undershirt of anykind, don't let the straps hang out. It doesn't look cool; it looks sloppy. If you are wearing a short shirt, check in the mirror, relaxed, to see if your stomach hangs out of the bottom. Otherwise, wear something a little bit longer. Also if your pants are likely to slip, try wearing a belt. Belts are totally hip these days! The main thing is try to look neat and clean, because only a few years ago I didn't realized how bad it looked when my pants were falling off my hips and my stomach was hanging out (this happens to anyone!). The main point is to keep the makeup light, and the clothes clean cut. Awesome stores are Limited Too and The Gap and Kid Gap.
As for Seventh grade you are beginning to care a little more what you look like; you might want to try curling your hair a few days a week, and using different hairstyles besides your typical ponytail. If you are acne prone, try foundation. But be careful! Even oily skin can get flaky and that looks horrible with foundation. So try it on weekends first and ask your mother (or someone that uses foundation well) if it looks okay. In Seventh grade you might want to try eyeliner also. But not too much; you don't want to look like a racoon! Start trying to tie outfits together with accessories. In Seventh grade its good to try new things with your makeup and clothes. But when you try the new things, make sure it looks good on you, not just in the picture or at the store. Check out different stores, and try to find out if there is a style that suits you.
In eighth grade you are probably getting pretty good at makeup and you know what you like. If you don't, keep trying and soon you will figure it out. Try establishing your own hair style without looking like everyone else. I'm not saying go get yourself a mohawk, but if everyone has long, layered hair with no bangs, try getting light wispy bangs and a shorter, layered look. You might be wearing tighter jeans now and probably starting to get concerened with impressing the guys, so now its safe to try more mature styles such as a sleek leather blazer, or lower cut necklines. Kohls is a great store for any style, basics or hot new items. Now, even though this is a subject you might want to avoid, eighth grade is when you might want to buy yourself a real bra. The padded kind. If you are content with your sports bra, that is totally OK. But its safe now to check out the actual bra department and wear something that makes you feel pretty, like lace.
Heres the big one, Ninth grade: high school! This is a big transition. Now in the same world as seniors, some voting age, you are going to want to look like the rest of your peers here also. You should by now have your make up and hair styles already. Try to update this look a bit, because no one wants to carry the same look they had in middle school, into high school. Dramatize a detail in your hair. If its known for its left side part, part it even deeper. Make a straight style even sleeker and hip. Learn to make youre curls tighter, or looser. In high school you might want to wear your usual make up during the day, and as you start to go out with friends and boys at night, add a darker shade of eyeliner, or jazz up your lips with something more festive. It's also good to try new shoes, try wearing spikier ankle boots with a pair of hot jeans and a peasant blouse. Chunkier heels aren't as hip as spikes as you get older. Incorporate accessories into your outfit. Buy yourself a bag that's in suede or leather to keep your schoolbooks in, instead of a backpack. You will want to buy yourself a new jacket, and make it your own. Make sure it's warm enough for football games or school events. Since you are in high school you will probably want to buy a school sweatshirt. Good hip stores to try for high school are Wet Seal, and eXpress. If comfort is your thing stick with kohls. If you are more of a punk/glam type of person, try HotTopic. You know what you like, so go out there and find clothes that fit your style, but crank it up a notch for a more mature feel.
Remember, if you are in 7th grade, don't try to skip to the ninth grade style thinking it will be cooler to look mature. It very likely won't; stick with what girls your age are wearing. Also, no matter how old you are the most important thing to do is have fun. Have your whole fashion thing put together before you leave the house, and keep it at a very minimal maintanence. An outfit isn't worth it if you have to worry whether the back of your jeans are too short or if you are scared it might be too see through. What you buy should make you comfortable, or its not worth it. So put your outfit together and forget about it for the rest of the day, and have fun!

5/29/2008

Skin Facial Cleansers

Using the right cleanser makes all the difference because it determines how your skin is going to react to everything else you put on it.  You'll want to avoid drying your face out because it causes problems a moisturizer can't correct. If you've been using a cold cream - something that is wiped off, this will clogg your pores and leave a film on the skin.  That can interfere with the moisturizer you use then.  If you've read information on toners, you'll realize that if you have a greasy face, you won't want to degrease it with harsh cleansers and toners either.  The best way to choose a facial wash is to use a gentle, water-soluble cleaner that is for normal to oily (that includes combination skin if you tend to have more oil in some areas), or normal to dry (that includes combination skin if you have a tendency to have dry spots).

 

This type of cleanser does three things: (1) it washes off makeup without drying the face, (2) it contains no synthetic irritants such as synthetic fragrance, (3) it is gentle to the skin and doesn't require a washcloth to wipe off, you can splash it off, although some may still prefer a soft cotton cloth.

 

Not only are water-soluble cleansers the gentlest way to clean your face, but they are also the most efficient.  What about Eye Makeup Remover? Many wonder if it is needed? I do believe it is necessary.  Stretching the skin to remove mascara and shadow can stretch the skin's elastic fibers, and cause the skin to sag sooner than you'd like. So we definately recommend using one.  See our Information Library for articles on skin conditions.

Moisturizing creams for aging skin

With moisturizing creams, a gentle upward and outward massage should be employed to stimulate circulation of the blood, which will, in turn, nourish the skin. A gentle massage will also stimulate and strengthen the underlying muscle fiber which will help maintain the elasticity of the skin. However, do not massage too deeply; a gentle but firm motion is adequate for an aging skin which will no longer benefit from a strong massage.
After you have worked the cream well into your skin, spray some mineral water or rose water (keep it in an old, well-scrubbed Windex bottle) lightly over the face. It will help the cream penetrate and hydrate your thirsty skin at the same time.

Honey-Rose Moisturizing Cream

2 oz sesame oil (or 1 oz sesame oil and 1 oz rose0scented oil)
1 tbsp beeswax
1 oz rose water
1/4 tsp borax
1 tbsp honey
1 tsp liquid lecithin2-4 drops red food coloring

Melt beeswax over low heat. Warm oil, honey and lecithin together and dribble into wax beating constantly. Warm rose water and borax and, pouring slowly, beat into mixture until cool and creamy. Makes 3 oz. Refrigerate.

Coconut Moisturizing Cream with Vitamins A, D and E

1 oz wheat germ oil
2 tbsp anhydrous lanolin
2 tbsp cocoa butter
1 tbsp coconut oil
1 oz plus 1 tbsp coconut extract
2 tsp liquid lecithin
1/4 tsp borax
10 vitamin pills each vitamin A and D

Melt cocoa butter and coconut oil and add to warmed wheat germ oil, lanolin and lecithin. Beat together thoroughly. Warm extract and borax and, pouring slowly, beat into mixture until cool and creamy. Prick vitamin pills with a pin and squeeze into cream. Beat again until fluffy. Makes 3 oz. Refrigerate.

Blended Oils Moisturizing liquid

1 oz almond oil
1 oz wheat germ oil
1 oz avocado oil
1 oz coconut oil
1 oz castor oil
1 tbsp liquid lecithin
Heat all together and beat well until thoroughly mixed (don't be concerned if mixture becomes foamy). Cool and put in bottle. Refrigerate.

Vegetable Oil Moisturizing Liquid

Vegetable of your choice.

Face-Butter Moisturizing Cream

1 container any brand margarine

Margarine is already a solidified mixture of oils (note soy oil on the package) which works wonderfully as a moisturizer for woman who don't care to make their own.

Special Over-Night Moisturizing Cream

1 oz caster oil
1 oz coconut oil
2 tbsp anhydrous lanolin
1 oz wheat germ oil
1 tbsp liquid lecithin

Heat together and beat thoroughly (don't be concerned if mixture becomes foamy). Cool and pour into bottle

Simple and Powerful Diet Tips

In a perfect world, the only thing that you would need to do to reach your fitness goals would be work out occasionally. Unfortunately, the only way to truly get the body and level of health that you want is through the combination of diet and exercise.

The dieting right is the number one obstacle people face while trying to get fit, however filling your plate with healthy food doesn’t have to be a miserable experience.

Here are the best strategies I have found to keep people in shape.

Give Yourself Some Flexibility - If you box yourself into too strict of a diet, you are setting yourself up for failure. It’s true that that for most people if you want to lose weight, it is going to have to involve cutting back a bit on how much you eat, but if you allow yourself nothing but rice cakes and unbuttered wheat toast, you turn yourself into a ticking time bomb that will go off onto the nearest piece of cheesecake. Expect that you are going to indulge a little every now and then, and accept it.woman with measuring tape

Make Your Foods Easy to Make- I’ve discovered that most people eat junk food because it’s just so darn convenient. Microwaveable pizzas take three minutes to make, and there is a fast food joint on every corner who can give you a greasy pre heated burger in a matter of seconds. The only real way to counteract this is by making your healthy food just as convenient as unhealthy food.

For example, you might keep some whole grain tortillas in your cupboard so that you can make a quick and easy burrito with lean chicken or beans. You might also keep some frozen vegetables in your freezer, because they can be heated fairly quickly and be ready to eat. You may also consider buying lots of canned soups, because they take little time to prepare and are often very low in calories.

Find Ways to Combat Stress - Whenever someone has a relapse in their diet, it is usually during a particularly stressful time in their life. Maybe dealing with a toddler has kept them awake for much of a few nights or their new job is giving them a lot to worry about. This is when people start binging on French fries and ice cream. But if you want to conserve your waistline, you need to find other ways to combat stress.

To best way to deal with this by recognizing times when you might be getting stressed and react too it. If you find the pressure building up, find some time for yourself to do something that you really enjoy. Just half an hour of “me time” can make your diet go along a lot more smoothly.

Cut Out the Liquid Calories - If has calories and comes in a liquid form, try to limit your intake of it. The reason is that stuff like soda, alcohol, and milk can add a bunch of calories to you daily diet, but they never make you feel full. So you feel hungry even as you consume far more calories than you need. Focus mostly on whole foods and use tea or water to satisfy your thirst.

Don't Be Fooled By Marketing, Check For The Natural Seal!

With the demand for "natural" beauty products on the rise – such as lotions, balms and shampoos.
The manufactures are responding with a host of new beauty products, all labeled "natural".
The only problem is that some are natural and some are not.
So, how's a shopper to know if they're buying a "natural" product or not?
Until now, we had no way of knowing whether or not a product was truly "natural" (since there was no standard definition of the term used by the industry.)
Well, that's no longer the case.
To end this confusion and help consumers, the Natural Products Association just unveiled a new certification program that defines natural and includes an easily-identified seal. (See image)
You can expect the seal to begin appearing on certified natural beauty care products such as Burt’s Bees, Weleda, Aubrey Organics, Badger Balm, Farmaesthetics, and Trilogy Fragrances this summer.
These companies have volunteered (this is not a requirement by any federal agency), to join in with the Natural Products Association (the largest non-profit company in this arena) - because they got fed up with seeing other companies call their lines “natural” when they were anything but.
Actually, much of what we see on the shelves that says "natural", contains NOTHING natural…
The seal will help take the guesswork out of smart buying and educate consumers on what products are truly natural.
Products must follow strict guidelines set out by the Natural Products Association to merit bearing the natural seal.
The criteria includes, but are not limited to:
– 95% truly natural ingredients
– No ingredients with any potential suspected human health risks
– No processes that significantly or adversely alter the purity/effect of the natural ingredients
– Ingredients that come from a purposeful, renewable/plentiful source found in nature (flora, fauna, mineral)
– Processes that are minimal and don't use synthetic/harsh chemicals or otherwise dilute purity
– Unnatural ingredients only when viable natural alternative ingredients are unavailable and only when there are absolutely no suspected potential human health risks
So, don't be fooled when buying "natural" products, start checking for the natural seal this summer.