10/20/2008

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น การใช้ดองผัก ใช้ฆ่าวัชพืช ใช้ล้างเครื่องทำกาแฟ ใช้ขัดเงาเครื่องเงิน และใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ได้มีการนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือที่เรียกว่า "Apple Cider Vinegar" มาใช้ในการรักษาสุขภาพนอกเหนือจากการจำหน่ายเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร แต่ก็ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างแน่ชัด ถึงแม้ว่ากรณีศึกษาบางตัวได้บอกว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถช่วยรักษาหลายโรค เช่น เบาหวาน หรือ โรคอ้วน

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะสามารถทำให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือ น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจะเหมาะกับการทำความสะอาดคราบสกปรกเพียงแค่นั้น ต่อไปจะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คืออะไร?

น้ำส้มสายชูเกิดจากกระบวนการหมัก กระบวนการนี้จะเกิดจากการที่น้ำตาลในอาหารถูกทำให้แตกตัวโดยแบคทีเรียและยีสต์ ในขั้นแรกน้ำตาลจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ แล้วแอลกอฮอล์ก็จะหมักตัวต่อไปกลายเป็นน้ำส้มสายชู คำว่า ”vinegar” มาจากภาษาผรั่งเศส แปลว่า “ไวน์เปรี้ยว” โดยน้ำส้มสายชูหมักสามารถทำได้จากหลาย ๆ อย่าง เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ผัก และเมล็ดข้าว ส่วนน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นทำำจากแอปเปิ้ลบดละเอียด

ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูประเภทใด ๆ ก็ตามคือ กรดอะซิติก อย่างไรก็ตามส่วนประกอบของน้ำส้มสายชูก็จะมีกรดชนิดอื่น พร้อมทั้ง วิตามิน เกลือแร่และ อะมิโนเอซิดด้วย

น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงหรือ

?

มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1950เป็นต้นมา หลังจากมีการเผยแพร่ในหนังสือที่ขายดีที่สุดเรื่อง Folk Medicine: A Vermont Doctor's Guide to Good Health by D. C. Jarvis. (หนทางสู่การมีสุขถาพดี โดย D.C. Jarvis) ในช่วงที่แพทย์ทางเลือกเป็นที่นิยมในช่วงที่ผ่านมา ยาที่ทำจากน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลก็เป็นอาหารเสริมยอดนิยมด้วยเช่นกัน

เมื่อดูจากฉลากอาหารเสริมหรือในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณจะได้เห็นสรรพคุณที่มากมายของมัน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลสามารถรักษาได้หลากหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเหา ทำใ้ห้ดูอ่อนเยาว์ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้นและล้างพิษออกจากร่างกาย

แต่การกล่าวอ้างส่วนใหญ่นี้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ถึงแม้บางกรณีศึกษาได้มีการพิสูจน์แล้ว เช่น น้ำส้มสายชูสามารถกำจัดเหาและรักษาหูดได้ แต่ในบางกรณีน้ำส้มสายชูอาจจะใช้ไม่ได้ดีเท่ากับการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น น้ำสัมสายชูช่วยฆ่าเชื้อโรคได้แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดีเท่ากับน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป ในขณะที่น้ำสัมสายชูอาจจะช่วยแผลจากการโดนแมงกะพรุนกัด แต่น้ำร้อนช่วยได้ดีกว่า

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

ทั้งนี้ได้มีการใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในจุดประสงค์ต่าง ๆ ตามกรณีศึกษาบางตัว ดังนี้

  • การรักษาเบาหวาน

น้ำส้มสายชูมีผลต่อระดับกลูโคสในเลือดอาจจะเป็นการวิจัยที่ดีที่สุดที่สนับสนุนประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นไปได้ การศึกษา หลาย ๆ ชิ้นได้พบว่าน้ำส้มสายชู   อาจจะช่วยลดระดับกลูโคส เช่น ในปี 2007 ได้มีการศึกษากับกลุ่มคน 11 คน ซึ่งเป็นเบาหวานประเภท 2 พบว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะก่อนนอนจะช่วยลดระดับกลูโคสในตอนเช้า ประมาณ 4%-6% อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ทำนั้นได้ทดลองกับหนู จึงเร็วเกินไปที่จะทราบว่าจะได้ผลเช่นเดียวกันกับคนหรือไม่

  • คลอเรสเตอรอลสูง

ผลการศึกษาในปี 2006พบว่าน้ำส้มสายชูช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้

  • ความดันเลือดและปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ

การศึกษากับหนูพบว่าน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ความดันเลือดลดลง การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาพบว่าคนที่กินน้ำมันและน้ำส้มสายชูที่ีใส่ในน้ำสลัด 5 ถึง 6 ครั้งต่ออาทิตย์มีอัตราการเป็นโรคหัวใจต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กิน อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ได้พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าน้ำส้มสายชูจะเป็นสาเหตุหลักที่ลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคดังกล่าว

  • มะเร็ง 

การทดลองในห้องแล็บพบว่าน้ำส้มสายชูอาจจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งหรือทำให้เซลล์เหล่านี้เติบโตช้า การศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาในคนยังคงเป็นที่สงสัย บางคนว่าการกินน้ำส้มสายชูจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่การศึกษาบางตัวบ่งว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

  • การลดน้ำหนัก

ในหลาย ๆ พันปีที่ผ่านมา น้ำส้มสายชูได้ถูกนำมาใช้ในการลดน้ำหนัก น้ำส้มสายชูขาว อาจจะช่วยให้รู้สึกอิ่ม ในการศึกษาเมื่อปี 2005กับคน 12 คน พบว่าคนที่ทานขนมปังกับน้ำส้มสายชูขาวปริมาณเล็กน้อยจะรู้สึกอิ่มกว่าและรู้สึกพึงพอใจมากกว่าคนที่กินแค่ขนมปัง

ในขณะที่ผลของการศึกษาบางกรณีทำกับสัตว์หรือเซลล์ในห้องแล็บ การทดลองกับคนเป็นเพียงการทดลองเพียงกลุ่มเล็ก ๆ และยังต้องอาศัยผลการศึกษาเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก

ควรจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร?

เนื่องจากยังไม่มีผลการพิสูจน์แน่ชัดว่าควรจะใช้อย่างไร บางคนจึงรับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะโดยเอาไปผสมกับน้ำหรือน้ำผลไม้ 1 ถ้วย หรือบางคนอาจจะทานเป็นแคปซูลซึ่งมีปริมาณ 285 มิลลิกรัม โดยในบางครั้งอาจจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลไปประยุกต์ใช้กับผิวหนังหรือใช้ในการสวนทวาร ซึ่งความปลอดภัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

มีข้อจำกัดในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในปริมาณน้อยดูไม่ค่อยจะเป็นปัญหา แต่การรับประทานในระยะเวลานาน ๆ หรือปริมาณมาก ๆ อาจมีความเสี่ยงได้ ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมีความเป็นกรดสูง ส่วนประกอบหลักของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลคือกรดอะซิติก ซึ่งค่อนข้างอันตราย การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลจึุงควรจะมีการเจือจางกับน้ำหรือน้ำผลไม้ก่อนกลืน น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลบริสุทธิ์จะทำลายเคลือบฟันและเนื้อเยื่อในช่องคอและปาก กรณีศึกษาหนึ่งได้พบว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลที่เป็นแคปซูลติดอยู่ในช่องคอ ซึ่งทำให้หลอดอาหารได้รับความเสียหาย น้ำส้มสายชูยังเป็นสาเหตุุที่ทำให้เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนังได้ด้วย
  • การใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนาน ๆ อาจทำให้ระดับโปแตสเซียมและมวลกระดูกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีระดับโปแตสเซียมต่ำอยู่แล้ว หรือเป็นโรคกระดูกพรุน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล
  • น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอาจจะส่งผลกับยาขับปัสสาวะ ยาระบาย หรือยาเกี่ยวกับเบาหวานและหัวใจ
  • สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีโครเมียมซึ่งสามารถทำให้ระดับอินซูลินในร่างกายเปลี่ยนได้

การรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลในรูปอาหารเสริมเป็นแคปซูล แทนที่จะรับประทานในรูปของเหลว จะทำให้มีความเสีี่ยงมากขึ้น เพราะอาหารเสริมเหล่านี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยองค์การอาหารและยา และไม่มีการทดสอบถึงผลกระทบหรือความปลอดภัยของมัน ผลการวิจัยพบว่า

- ส่วนผสมที่ระบุบนกล่องมักไม่ตรงกับส่วนผสมจริงที่อยู่ในผลิตภัณฑ์

- ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันอย่างมาก

- ปริมาณที่แนะนำให้ใช้ในแต่ละยี่ห้อก็มีความแตกต่่างกันอย่างมากเช่นกัน

เราควรจะทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลหรือไม่?

คำตอบขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลอย่างไร ถ้าเป็นแค่ส่วนประกอบในน้ำสลัดก็สามารถทานได้ตามปกติ แต่ถ้าใช้ในการรักษาโรคก็อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการพิสูจน์ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูใด ๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ถ้าคุณกำลังคิดที่จะลองทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล คุณควรจะปรึกษาแพทย์ก่อน แพทย์ของคุณจะได้พิจารณาว่าการรับประทานน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนั้นจะส่งผลต่อสภาพร่างกายหรือยาที่คุณรับประทานอยู่หรือไม่ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีในกรณีที่เราเลือกรับประทานเอง

Apple cider vinegar

Apple cider vinegar พูดเป็นไทยเราง่ายๆคือ น้ำแอปเปิ้ล ที่เติมน้ำตาลแล้วหมักให้เป็นน้ำส้มสายชูนั่นเอง
การใช้ของมัน มีการกล่าวอ้างว่า สามารถใช้รักษาโรคได้มากมายหลายอย่าง ซึ่งประวัติการใช้น้ำส้มสายชูเป็นยา มีมานานตั้งแต่สมัยยุค 10000 ปีที่แล้วทีเดียว การใช้ Apple cider vinegar เป็นยาวิเศษ เริ่มใน USA ตั้งแต่ยุค 1950's เมื่อมีหมอคนหนึ่ง มาบอกว่ามันมีประโยชน์ต่อคนไข้ของเขาในหลายๆเรื่อง
เราจะมาดูว่า ที่เขากล่าวอ้างกันนั้น มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงไร
1. ช่วยในการกำจัดพิษในร่างกายโดยการสร้างเซลล์ใหม่
- คงต้องถามกันก่อนว่าอะไรคือ พิษในร่างกาย อาหารหรือสิ่งที่เกิดจากการใช้พลังงาน หรือกระบวนการต่างๆในร่างกาย หลังจากที่เกิดพลังงานหรือสารอาหารที่ร่างกายต้องการแล้ว ก็จะเกิดเป็นสารประกอบชนิดอื่นๆ ซึ่งหลายตัว มีพิษต่อร่างกาย และร่างกายต้องขับออกไป
โดยปกติแล้ว ร่างกายเราสามารถกำจัดสารแปลกปลอมที่เกิดขึ้นนี้ได้แทบทุกชนิด ทั้งทางตับ ไต หรือทางลมหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องกินอะไรหรือทำอะไรเพื่อช่วยเลยครับ
ประเด็นการสร้างเซลใหม่ ก็ไม่เห็นจะมีความเกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษแต่อย่างใด
2.ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
- ลองบอกหน่อยซิครับ ว่ามันไปปรับอะไร ตรงไหน ยังไง ?? การกล่าวแบบนี้ เป็นเพียงการกล่าวลอยๆ เหมือนนักการเมือง ที่ชอบบอกว่าประเทศไทยจะไม่มีคนจนอย่างนั้นแหละครับ
3. ช่วยในระบบเผาผลาญแคลเซียม
- ระดับแคลเซียมในร่างกายจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมน calcitonin ซึ่งการทำงานของมันก็ขึ้นกับ ระดับแคลเซียมในเลือดครับ ไม่จำเป็นต้องกินน้ำนี่เข้าไปแต่อย่างใด
4. ช่วยชะลอความชรา
- มีหลักฐานมั้ยครับ ว่ากินแล้วจะช่วยได้จริงๆ ถ้ามันทำได้จริง ป่านนี้พวกผลิตภัณฑ์ลบรอยเหี่ยวย่นทั้งหลายคงเจ๊งไปแล้ว
5. ช่วยปรับระดับกรด - ด่าง ในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล
- ใน Apple cider vinegar จะมีกรด acetic acid อยู่มาก จึงไม่ช่วยในเรื่องการปรับสภาพกรดแต่อย่างใด ใครที่มีกรดเยอะๆ (เช่น โรคกระเพาะ) กินแล้วอาจส่งผลเสียมากกว่าเดิมด้วย
และอีกอย่าง ร่างกายคนเราก็มีระบบที่จะปรับสภาวะกรดด่างในร่างกายอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยของพวกนี้แต่อย่างใด
6. ช่วยการทำงานของหัวใจ + ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปรกติ + บรรเทาอาการปวดศีรษะ + ช่วยในการขับถ่ายเป็นปรกติ + ช่วยกำจัดนิ่วในไต และในถุงน้ำดี + ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ +ช่วยในเรื่องของการฟังและปัญหาทางหู
+ ช่วยบำรุงสายตาและปัญหาเกี่ยวกับสายตา + ช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปรกติ และโรคอื่นๆ

- กล่าวเลื่อนลอยเหมือนข้อ 2 เลยครับ ไม่มีหลักฐานการทดลองไหนที่บ่งบอกว่า การใช้น้ำนี่จะช่วยได้เลยครับ
7. ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
- ไม่ช่วยแต่อย่างใดครับ
กล่าวโดยสรุปแล้ว Apple cider vinegar นั้นเป็นเพียงแค่ความเชื่อเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายๆครั้ง ก็ไม่พบว่ามันจะช่วยหรือก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
มีการวิเคราะห์ว่า ใน Apple cider vinegar 1 ช้อนโต๊ะ จะมีสารอาหารเท่าใด พบว่า มันมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ (เช่น แคลเซียม เหล็ก ฯลฯ) อยู่ในปริมาณน้อยมาก และที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ไม่พบวิทามินและ fiber เลย จึงไม่น่าแปลกใจ ที่กินแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายแต่อย่างใด
สุดท้ายก็อย่าไปหลงกลพวกที่เอาของมาหลอกขายเลยครับ

น้ำผึ่ง : ยามหัศจรรย์ เพื่อสุขภาพ

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

น้ำผึ้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลักษณะของรังผึ้ง

น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์

น้ำผึ้งในตำรับยาไทย

เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

  • น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
  • น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง

ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ

น้ำผึ้งในตำรายาจีน

ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี

ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

หลากประโยชน์จากนมผึ้ง

นมผึ้ง

นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือ วุ้นนางพญา เป็นผลิตภัณฑ์จากรังผึ้ง มีลักษณะเป็นของเหลวข้น สีขาวครีม มีกลิ่นออกเปรี้ยว รสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน ซึ่งเป็นผึ้งที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนและป้อนอาหารให้แก่นางพญา นมผึ้งที่สร้างผลิตขึ้น จะกลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงให้ราชินีมีอายุยืนยาวและตัวอ่อนผึ้งเติบโตแข็งแรงต่อไป

นมผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดตามธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมน ทำให้กินอะไรเข้าไปร่างกายจะไม่ค่อยดูดซึม ร่างกายจึงผอมลง และหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อกินฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทนก็มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เราจึงแนะนำให้คนที่ผ่าตัดมดลูกลองกินนมผึ้งที่มีฮอร์โมนจากธรรมชาติ กินทีละน้อยร่างกายก็จะค่อยปรับไปตามธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผิวพรรณก็จะกลับมาผุดผ่องตามธรรมชาติ

สำหรับคนที่มีอาการเครียด นอนไม่หลับ และเป็นภูมิแพ้ว่าควรรับประทานนมผึ้งเพราะ ในนมผึ้งมีกรดที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ Decenonic acid ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยคลายเครียด และทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้นมผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด ที่สำคัญคือวิตามินบี ได้แก่ ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ฯลฯ ซึ่งเป็นสารจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของโปรตีน และเชื่อกันว่าเป็นวิตามินต่อต้านความเครียด รวมถึงกรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ซึ่งชนิดป้องกันโรคโลหิตจางได้ และยังมีอะเซตทิลคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของระบบประสาทในมนุษย์ และมีสารประกอบชีวเคมีไอโนซิทอล ซึ่งช่วยขจัดไขมันตกค้างในตับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

ผึ้งแต่ละรังจะผลิตนมผึ้งในปริมาณน้อย นมผึ้งจึงมีราคาสูง นมผึ้งสดๆ จะเก็บได้ไม่นาน จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะผลิตเป็นแคปซูล หากผลิตอย่างดีมีคุณภาพจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของนมผึ้งไว้

เกสรผึ้งสร้างความสดชื่น

เกสรผึ้ง

เกสรผึ้ง (Pollen) คือละอองเม็ดเล็กๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดจากการหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้นานาชนิด ผึ้งจะไปเก็บรวบรวมเกสรเหล่านี้มาผสมกับน้ำหวานของดอกไม้และทำเป็นก้อนเล็กๆ ติดมากับขา แล้วนำไปเก็บไว้ในรังเพื่อเป็นอาหารโปรตีนเลี้ยงตัวอ่อน

สำหรับเกสรผึ้งนั้น มีธาตุอาหารหลักคือ คาร์โบไฮเดรต 60 เปอร์เซ็นต์ กรดอะมิโน 20 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 7 เปอร์เซ็นต์ เกลือแร่ 6 เปอร์เซ็นต์ และน้ำ 7 เปอร์เซ็นต์

เกสรผึ้ง สามารถนำมาบำบัดโรคภูมิแพ้ ประเภทแพ้อากาศและฝุ่นละออง แต่หากแพ้เกสรดอกไม้ห้ามรับประทานเกสรผึ้งเพราะอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ รวมถึงคนที่เป็นโรครูมาติซั่ม รอบเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงร่างกายนักกีฬา ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย สร้างความกระฉับกระเฉง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำ

นอกจากนี้เกสรผึ้งยังเป็นสารฮอร์โมนธรรมชาติที่ช่วยกระตุ้น และบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ผู้ที่ไม่มีบุตรในวัยเจริญพันธุ์ อาจมีบุตรได้ เพราะเกสรผึ้งจะทำให้สตรีตกไข่ดีขึ้น และสร้างความแข็งแรงให้ตัวสเปิร์มและเพิ่มจำนวนตัวสเปิร์มด้วยเช่นกัน

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา

ลดการอักเสบ

หากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรืออบเชย ชาเสจ ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว) ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว

รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา

ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

ต้านข้ออักเสบ

ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก

กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

แก้นอนไม่หลับ

น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

บำรุงเลือด

เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

บรรเทาอากาไอ
ส่วนผสม

น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)

วิธีทำ

คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง

วิธีกิน

กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง

บำบัดเบาหวาน
ส่วนผสม

สาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม

วิธีทำ

ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด

วิธีกิน

ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้

ลดความดันโลหิตสูง

ส่วนผสม

น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม

วิธีทำ

ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง

วิธีกิน

ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก

ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

สำหรับผิวหน้าสดใส

ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม

หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

ทดสอบน้ำผึ้งแท้

น้ำผึ้ง

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้

  1. มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
  2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ
  3. มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
  4. ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
  5. ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
  6. ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
  7. การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน
  8. ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที

โน้ตบุ๊คจิ๋ว

โน๊ตบุ๊คจิ๋วที่เอามาเล่าให้ฟังกันวันนี้ คือ HP 2133 Mini-Note PC ของค่าย HP ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เห็นว่าราคาไม่แพงนัก เหมาะสำหรับเป็นสาว ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดยจากการที่ไปแอบดู spec ของเครื่องโน๊ตบุ๊ค HP รุ่นนี้มาแล้ว พบว่า spec ต่าง ๆ ใช้ได้ทีเดียว สามารถใช้งานจริงได้อย่างไม่เคอะเขิน

hp2133.jpg

แต่หากผมมัวแต่มาเขียน spec ยาวเป็นหางว่าว ให้สาว ๆ อ่านกัน คงได้ค้อนใส่ผมตาเขียว ดังนั้นขอเล่าคร่าว ๆ ว่าจุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้ อยู่ที่น้ำหนักครับ มันหนักเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัม โดยมีจอกว้างขนาด 8.9 นิ้ว ส่วน CPU ก็มีความเร็ว 1.6 GHz และ มีหน่วยความจำ 512 เมกะไบต์ (ไปจนถึง 2 กิกะไบต์ ขึ้นอยู่กับรุ่น) Harddisk ขนาด 120 กิกะไบต์ และยังสามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย และใช้ bluetooth ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องจริง ๆ

ดูแล้วเครื่องโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา และ spec ขนาดนี้ เหมาะสำหรับนำไปใช้งาน presentation หรือเอาไปเขียน blog ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดจริง ๆ เลยครับ สำหรับสนนราคา เจ้าเครื่อง HP 2133 นี้เริ่มต้นที่ 19,900 บาท ไปจนถึงรุ่นสูงสุด จะอยู่ที่ราคาประมาณ 35,900 บาท

ประโยชน์น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไซเดอร์ วินิก้า


*แอปเปิ้ลไซเดอร์ เวนิก้า*
ทำโดยหมักน้ำผลไม้แอปเปิล อ็อกซิเจนในอากาศจะทำปฏิกริยาต่อกันโดยจะเปลี่ยนอัลกอฮอล์ไปเป็นกรดอาซีติค
ในระหว่างกระบวนการการหมัก จะเติมสารสำคัญเรียก “mother” เติมเพื่อเพิ่มความเร็วของขบวนการ
แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า คืออุดมไปด้วยวิตามินเช่นนั้น วิตามินC, E, B1, B2, B6, P, และเบต้าคาโรทีน
นอกจากนั้นยังมีเกลือแร่และ ธาตุที่มีน้อยเช่นนั้นโปตัสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส,เหล็ก และทองแดง.
โรคหลายโรคจำนวนมากมายช่วยบรรเทาโดยน้ำแอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า โดยการช่วย่ควบตุมดูแลการเผา
ผลาญพลังงานของคุณ ช่วยการลดน้ำหนัก ช่วยลดไขมันร้ายไขมันโคเลสเตอรอล ลดน้ำที่คั้งค้างในร่างกาย และ
ควบคุมดูแลความดันเลือด ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ผิวไหม้แดด ใช้แอปเปิลไซเดอร์ วีนิก้า ทาโดยทั่วไปจะช่วยลด
ความเจ็บปวดนอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการคันเนื่องจากลมพิษหรือผื่นโดยการทาทั่วๆบริเวณที่เป็น
Benefits from Apple Cider Vinegar:
ประโยชน์ของแอปเปิ้ล ไซเดอร์ วีนิก้าต่อสุขภาพ
o Regulate blood pressure / ช่วยควบคุมและลดปัญหารเรื่องความดันโลหิตสูง
o Fight infection / ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เพราะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
o Relieve Arthritis pain / ช่วยบรรเทาอาการปวดตามไขข้อ
o Promote Digestion / ช่วยเสริมและดูแลระบบย่อยอาหาร
o Improve Metabolism / ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญพลังงานสะสม
o Helps flush out the Gall Bladder
o Control Weight / ช่วยควบคุมและลดน้ำหนัก
o Fight Osteoporosis /ช่วยป้องกันปัญหาโรคกระดูกพรุนในช่วงวัยทอง
o Maintain healthy skin / ช่วยเสริมสุขภาพของผิวหนัง
o Relieves sore throats, laryngitis / ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ ระบบทางเดินหายใจ
o Soothes sunburn, shingles and bites / ช่วยบรรเทาอาการไหม้แดด แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำร้อนลวก
o Helps prevent dandruff, baldness and itching scalp / แก้อาการคันศีรษะ รังแค ช่วยบรรเทาอาการ
ผมร่วงง่าย
o Antibacterial and anti-fungal / ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา
o Gives the immune system a good boost / เสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
o High potassium electrolyte balancer, / ช่วยเสริมความสมดุลย์ของระบบอีเลคโทรไลต์ของร่างกาย
o Weight loss & suppressing the appetite, / ช่วยลดน้ำหนัก และลดความอยากอาหาร
o boosting the immune system, acts as antiseptic and antibiotic, เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
o rich source of amino acids & rich in vitamins & minerals, อุดมด้วยอมิโน แอซิด/วิตามิน/เกลือแร่
o helps digestion & improves metabolism, Burns Fat ช่วยเพิ่มระบบเมตาโบลิซึ่ม เผาผลาญ
พลังงานไขมันสะสมในร่างกาย
o decreasing cholesterol, arthritis & high blood pressure, ช่วยลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล
/ความดันโลหิตสูง / อาการปวดตามข้อ
o Good for circulation & Detoxifying the body, Cleans out toxins from tissues and joints
ช่วยการไหลเวียนโลหิต / ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
o stimulates thinking & slowing ageing process. ช่วยชลอการเสื่อมก่อนวัย กระตุ้มระบบความจำ
น้ำส้มสายชูหมัก ทานวันละ2-3ครั้งหลังอาหาร แค่2ช้อนชา
ทานกะน้ำผึ้ง1ช้อนชา ผสมน้ำหนึ่งแก้ว แล้วยกซดเลย

7/25/2008

ทายใจ ดูดวง ของขวัญ จาก หวานใจ



อยากรู้ ดวง หรือ ทำนายดวง ของตัวเอง แต่ไม่มีเวลาไปให้ หมอดี หรือ โหร ดูดวง ให้ ทำไงดีละเนี่ย …อ่ะ อ่ะ ไม่ต้องเสียใจกันค่ะ เพราะวันนี้ เรามี คำทำนาย หรือ ดูดวง จาก ของขวัญ จากหวานใจ มาให้อ่านถึงที่บ้านกันเลย ใคร อยากรู้ว่า ตัวเองมี ดวง ชะตา แบบไหน ก็คลิกอ่านที่นี่เลย
ตุ๊กตา
ถ้าได้รับตุ๊กตาจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณยังเป็นเด็กอยู่มาก เค้ามีความรู้สึกว่า เค้าเป็นพี่ชายคุณ ความรักของคุณเป็นความรักที่เอื้ออาทรกันค่ะ
ดอกไม้
ถ้าได้รับดอกไม้จากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณมีความเป็นกุลสตรีมากๆ เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงและเค้าอยากปกป้องคุณค่ะ
น้ำหอม
ถ้าได้รับน้ำหอมจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเห็นคุณเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง (ค่อนข้างสูง) และเค้าอยากให้คุณอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
เสื้อผ้า
ถ้าได้รับเสื้อผ้าจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจชอบที่จะเห็นคุณใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ และเค้าก็เป็นคนที่เอาแต่ใจตัว (เล็กๆ)
ชุดนอน
ถ้าได้รับชุดนอนจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจคุณเอาใจใส่คุณมากและอยากให้คุณคิดถึงเขาแม้ยามหลับค่ะ
แหวน กำไล สร้อยข้อมือ
ถ้าได้รับสิ่งเหล่านี้จากหวานใจ นั่นแสดงความเป็นเจ้าของคุณแล้วล่ะค่ะ และเค้าคนนั้นก็เป็นคนขี้หึงซะด้วยค่ะ
หนังสือ
ถ้าได้รับหนังสือจากหวานใจ นั่นหมายถึง หวานใจเค้าเห็นคุณเป็นคนที่รักการอ่าน และตัวเขาเองก็รักการอ่านเช่นกัน ความรักของคุณเป็นความรักที่คอยช่วยเหลือกันค่ะ

แต่งสวยหน้าใส วันสำคัญ



ช่วงนี้ไปทางไหนหลายมหาวิทยาลัยก็ได้ยินแต่เสียงเฮเสียงบูม ร่วมแสดงความยินดีกับเหล่ารุ่นพี่บัณฑิตที่ตบเท้าเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรกันเป็นแถว นำพาความปลื้มปิติไปถึงกลุ่มญาติสนิทมิตรสหายและบรรดาครอบครัวที่เดินทางมาร่วมถ่ายรูปแสดงความยินดีอย่างตลอดสาย

เอาล่ะ! ไหนๆ ก็ถึงวันแห่งเกียรติยศของชีวิตทั้งที แม้จะเหน็ดเหนื่อยเหงื่อตกกับอากาศร้อนขนาดไหนก็ตาม แต่เหล่าบัณฑิตทุกคนก็ยังคงยิ้มสู้กล้องชนิดนางงามยังอาย ฉะนั้นองค์ประกอบสำคัญของวันนี้ สิ่งหนึ่งจึงหนีไม่พ้นเรื่องของการตระเตรียมใบหน้าและการแต่งหน้าให้เหมาะสมกับวันรับปริญญา

ว่าแล้วว่าที่บัณฑิตทั้งหลายก็ลองติดตามเทคนิคการแต่งหน้าวันรับปริญญาที่เราเอามาฝากกันดู

เริ่มต้นที่ความเข้าใจกันก่อนเลยว่า สำหรับวันนี้ “เราควรแต่งหน้าให้ดูบางเบาเป็นธรรมชาติที่สุด” ควรจะทำให้ดูสวยสมวัยไม่ดูแก่ในสายตาของผู้ที่มาแสดงความยินดี แต่ต้องไม่อ่อนจนถ่ายรูปออกมาแล้วดูจืดสนิทเหมือนไม่แต่งหน้าเลย จากนั้นก็ต่อด้วยสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ คือเรื่องของครีมกันแดดที่จำเป็นต้องทาไว้ป้องกันผิวหนังคล้ำและทำให้เมคอัพติดทนนานได้

ส่วนเมคอัพที่ต้องติดทนนานตลอดทั้งวันนั้น คือ จะต้องนับตั้งแต่เช้ามืดที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้าไปจนถึงช่วงถ่ายรูปกลางแดดจัดจนกระทั่งถึงตอนงานพิธีในห้องประชุม การที่เราต้องสลับการเดินเข้าๆ ออกๆในที่ร่มและกลางแจ้งแบบนี้ทำให้การดูแลเมกอัพเป็นเรื่องยาก ควรจะซับมันบ้าง

กลับมาเรื่องของการแต่งหน้าเน้นดูเป็นธรรมชาติ คือการที่แต่งโดยไม่ต้องเน้นสีสันหรือแต่งหน้าแนวแฟชั่นอย่าเลือกสีรองพื้นหรือแป้งที่เข้มหรืออ่อนกว่าผิวจริง เพราะเวลาถ่ายรูปจะดูหลอกหน้าลอย อย่าลืมลงรองพื้นหรือทาแป้งที่ลำคอด้วย

โดยเราต้องเลือกรองพื้นแบบกันน้ำ หรือแบบที่ติดทนนานเป็นพิเศษ เพราะอากาศร้อน และเหงื่อจะออกมามากเน้นโทนสีน้ำตาล ซึ่งเหมาะกับสีผิวเราๆ พวกสีชมพูอมน้ำตาลหรือส้มอมน้ำตาลก็ใช้ได้เช่นกัน หรืออาจจะใช้เครื่องสำอางที่มีประกายมุกช่วยในจุดที่ต้องการเน้น เช่น ดวงตาหรือโหนกแก้ม

แต่ต้องระวังอย่าใช้ลิปสติกเป็นกลอสมากจนเกินไป เพราะเวลาถ่ายรูปออกมาแล้วดูไม่สวย และติดไม่ทนด้วย ส่วนสาวผิวคล้ำไม่แนะนำให้ใช้รองพื้นหรือแป้งสีอ่อน เพื่อให้หน้าดูสว่างขึ้น แต่ให้เล่นที่สีแต่งเปลือกตาหรือทาปาก เช่นใช้สีส้ม โทนสีพาสเทลประกายมุก หรือพวกน้ำตาลประกายทอง

ยังไงก็ตามถ้าไม่มั่นใจและไม่อยากแต่งหน้าเองก็ควรที่จะติดต่อมืออาชีพ มาช่วยโดยใช้บริการทำผมแต่งหน้า ตามร้านเสริมสวย ต้องย้ำสักนิดว่า ไม่เอาแบบ ”ไปออกงาน” เพราะทำแล้วเมกอัพจะมีลักษณะเข้มจัดแม้วันนี้จะเป็นวันที่เราอยากสวยก็จริง แต่การกล้าผมมวยสูงแบบเป็นทางการสุดๆจะดูแก่ไป และอย่าลืมให้เพื่อนสนิทหรือญาติสนิทคอยช่วยพกกระเป๋าเครื่องสำอางเล็กๆไว้เผื่อเราจะได้ซับหน้ายามฉุกเฉิน และประการด่านสุดท้าย คือ รอยยิ้ม “เราต้องยิ้มเข้าไว้” นั่นแหละ จะคือ เมคอัพที่สวยกว่าเมกอัพอะไรทั้งหมด เอ้า ใครอยากเป็นบัณฑิตที่มีหน้าตาสวยใส ไม่ซีดวันรับปริญญาก็ลองไปทำตามกันดูได้เลย

7/10/2008

มะเร็งเต้านมป้องกันได้

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปากมดลูก อัตราเฉลี่ยของผู้หญิงที่เป็นโรคนี้คือ ๑ ใน ๙ ของผู้หญิงทั้งหมด มักเกิดในหญิงอายุ ๔๐ ปีขึ้นไปและพบมากในหญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อย หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ในทางระบาดวิทยาพบว่า อาหารที่มีไขมันสูงมีส่วนทำให้เกิดโรคได้ อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพียงดูแลตัวเองดังนี้
พักผ่อนอย่างเพียงพอ : การนอนหลับตั้งแต่ช่วงเวลา ๒๒๐๐ – ๐๖๐๐ จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Melatonin ซึ่งมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

รับประทานกรดโฟลิค ( Folic Acid ) : ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า ๒ แก้วต่อวัน หากไม่ได้รับกรดโฟลิคเสริม มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมสูงเนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต้านการทำงานของกรดโฟลิคในการสร้างสารดีเอ็นเอ ดังนั้นนักดื่มทั้งหลายหากงดรับประทานแอลกอฮอล์ไม่ได้ก็ควรเสริมกรดโฟลิคอย่างน้อย ๘๐๐ ไมโครกรัมต่อวัน

รับประทานถั่วเหลือง : ถั่วเหลืองมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมเนื่องจากถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ( Isoflavone ) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจนำถั่วเหลืองมาบริโภคโดยตรง หรือนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆก่อนบริโภคก็ได้

เสริมด้วยเมล็ดลินิน ( Flaxseed ) : เมล็ดลินินช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากเมล็ดลินินอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นกลุ่ม Omega – ๓ ไฟเบอร์ปริมาณสูง และสารลิกแนน ซึ่งเป็นส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดที่มีผลต่อต้านเซลล์มะเร็ง

เลือกรับประทานปลา : เนื่องจากกลุ่ม Omega – ๓ ที่พบในปลาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็ง จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม

ต้านภาวะการอักเสบ ( Anti inflammatory ) : การเกิดภาวะอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านภาวะอักเสบเช่น ขิง ขมิ้นชัน ชาเขียว หรือน้ำมันปลา อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม อีกทั้งอาหารเหล่านี้ไม่มีผลข้างเคียงกับระบบทางเดินอาหารเหมือนกับยาแอสไพริน ซึ่งฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นเดียวกัน แต่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
การบริโภคชาเขียว : ชาเขียวนอกจากจะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบแล้วยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งอีกด้วย จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่า การบริโภคชาเขียวเป็นประจำ อาจเพิ่มอัตราการรอดชีวิต และลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเต้านมในระยะขั้นต้นได้

ข้อแนะนำ

ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างน้อยเดือนละ ๑ ครั้ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตรวจคือ ๗ วันหลังจากมีประจำเดือน
หากพบสิ่งผิดปกติใดๆ บริเวณเต้านมควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมปีละ ๑ ครั้ง เมื่ออายุ ๓๐ ปีขึ้นไป
มะเร็งเต้านมรักษาหายขาดได้ หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก

6/27/2008

ของฝากสำหรับทุกท่านที่เคยเป็นแฟนกันและปัจจุบันเป็นสามี/ภรรยาแล้ว…….

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย Save name ว่า 'คิดถึงเหมือนกัน' แทนชื่อแฟนของคุณ
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย Save name ว่า 'คิดถึงนะ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ดแล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงนะ'
4. เช่นเดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงเหมือนกัน '

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท
เก็บเงินไว้พาแฟนไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีกว่า

นั่นมันสำหรับแฟนกัน

ถ้าแต่งแล ้วต้องตามนี้เลย

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย Save name ว่า 'เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน' แทนชื่อเมีย
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย Save Nam e ว่า 'ติดประชุม(โว้ย)' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อ List ดูก็จะพบข้อความว่า 'เองอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน'
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'ติดประชุม(โว้ย)'

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท
แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน

5/30/2008

Jun Natsukawa

++++ Sexy Girl Pictures.***Japan Star Sexy --Beautiful girls***** Photo of actress sexy japan and Beautiful girl Teen***
Jun Natsukawa, born September 9, 1983, is a Japanese idol from Tokyo, Japan. In October 2005, she released a music cd titled Himetra Trance in which she covered the theme song from the anime Cat's Eye. She's made an appearance on the Japanese television show Pink no Idenshi, as a schoolgirl who falls in love with her teacher; and as herself on the reality show Geirinji. She's also been featured in a commercial for Kantan Kirei-na Fudeo.

How do I get a girl?

When I walk by a pretty girl, it makes my heart beat run faster.. And I think, 'Will she be the one? I really want to find love...'
Finding love isn't the issue this moment. It's finding the right girl. Honestly, there really isn't a right girl. Well, there is but it's more like girls. Yes, it is possible. Your ex's can be the right girl but that doesn't mean you're lost without them. Go out there and flirt! Places to out and get your 'thang' on are: the mall, the park, chat rooms, fast food restaurants, etc. Pretty much anywhere.
When you start flirting, there are things you should do.
1. Don't ever go up to her girl randomly and say, "Hey, sweet thang." I swear to God, you'd be the stupidest person there. You'd feel stupid too after she laughs at you and walks away or if she gives you a look that says, "What the **** is wrong with your crazy ass?" and inches away from you. Don't ever.
2. If she's with her friends, slyly walk past her, while trying to get her attention, with your head down a bit ( not all the way down because you'll look like you're really shy and depressed. ), glance at her and crookedly grin. I see it all the time and it makes me want to melt. It's ***y and it works all the time.
3. If you don't get her attention, don't walk back and fourth because it'll look like you're trying to to stalk her really badly. Just somehow walk back near her and drop something, and pick it up. It'll possibly get her attention. If she looks at you after the picking up the dropped object, glance up at her, smirk at your success and coolly say, "Hey."
4. If that didn't work, pick a different girl and do the same thing.
5. Once you're somehow in conversation with her, don't say things like, "You're a real ***y chick."

On Maturing and Style, Sixth to Ninth Grade!

Makeup and clothing is an issue for many preteens and teenagers. But its hard to know what to buy and what makeup to wear when the only things you are exposed to are either a few years older, or a few years younger than you. If you are stressing about what you should look like as a newcomer in middle school, or a freshie in high school, here's my guide to help your fasion mature with you throughout middle and high school.
In Sixth grade, it's good to wear lip gloss, some mascara, and maybe a little bit of pale eyeshadow; don't go too heavy or it may look bad. If you want to try out more types of makeup, keep that for experiments at home. As for clothes, keep it in your comfort level. But looking back, keep this in mind: If you are wearing a bra or undershirt of anykind, don't let the straps hang out. It doesn't look cool; it looks sloppy. If you are wearing a short shirt, check in the mirror, relaxed, to see if your stomach hangs out of the bottom. Otherwise, wear something a little bit longer. Also if your pants are likely to slip, try wearing a belt. Belts are totally hip these days! The main thing is try to look neat and clean, because only a few years ago I didn't realized how bad it looked when my pants were falling off my hips and my stomach was hanging out (this happens to anyone!). The main point is to keep the makeup light, and the clothes clean cut. Awesome stores are Limited Too and The Gap and Kid Gap.
As for Seventh grade you are beginning to care a little more what you look like; you might want to try curling your hair a few days a week, and using different hairstyles besides your typical ponytail. If you are acne prone, try foundation. But be careful! Even oily skin can get flaky and that looks horrible with foundation. So try it on weekends first and ask your mother (or someone that uses foundation well) if it looks okay. In Seventh grade you might want to try eyeliner also. But not too much; you don't want to look like a racoon! Start trying to tie outfits together with accessories. In Seventh grade its good to try new things with your makeup and clothes. But when you try the new things, make sure it looks good on you, not just in the picture or at the store. Check out different stores, and try to find out if there is a style that suits you.
In eighth grade you are probably getting pretty good at makeup and you know what you like. If you don't, keep trying and soon you will figure it out. Try establishing your own hair style without looking like everyone else. I'm not saying go get yourself a mohawk, but if everyone has long, layered hair with no bangs, try getting light wispy bangs and a shorter, layered look. You might be wearing tighter jeans now and probably starting to get concerened with impressing the guys, so now its safe to try more mature styles such as a sleek leather blazer, or lower cut necklines. Kohls is a great store for any style, basics or hot new items. Now, even though this is a subject you might want to avoid, eighth grade is when you might want to buy yourself a real bra. The padded kind. If you are content with your sports bra, that is totally OK. But its safe now to check out the actual bra department and wear something that makes you feel pretty, like lace.
Heres the big one, Ninth grade: high school! This is a big transition. Now in the same world as seniors, some voting age, you are going to want to look like the rest of your peers here also. You should by now have your make up and hair styles already. Try to update this look a bit, because no one wants to carry the same look they had in middle school, into high school. Dramatize a detail in your hair. If its known for its left side part, part it even deeper. Make a straight style even sleeker and hip. Learn to make youre curls tighter, or looser. In high school you might want to wear your usual make up during the day, and as you start to go out with friends and boys at night, add a darker shade of eyeliner, or jazz up your lips with something more festive. It's also good to try new shoes, try wearing spikier ankle boots with a pair of hot jeans and a peasant blouse. Chunkier heels aren't as hip as spikes as you get older. Incorporate accessories into your outfit. Buy yourself a bag that's in suede or leather to keep your schoolbooks in, instead of a backpack. You will want to buy yourself a new jacket, and make it your own. Make sure it's warm enough for football games or school events. Since you are in high school you will probably want to buy a school sweatshirt. Good hip stores to try for high school are Wet Seal, and eXpress. If comfort is your thing stick with kohls. If you are more of a punk/glam type of person, try HotTopic. You know what you like, so go out there and find clothes that fit your style, but crank it up a notch for a more mature feel.
Remember, if you are in 7th grade, don't try to skip to the ninth grade style thinking it will be cooler to look mature. It very likely won't; stick with what girls your age are wearing. Also, no matter how old you are the most important thing to do is have fun. Have your whole fashion thing put together before you leave the house, and keep it at a very minimal maintanence. An outfit isn't worth it if you have to worry whether the back of your jeans are too short or if you are scared it might be too see through. What you buy should make you comfortable, or its not worth it. So put your outfit together and forget about it for the rest of the day, and have fun!

5/29/2008

Skin Facial Cleansers

Using the right cleanser makes all the difference because it determines how your skin is going to react to everything else you put on it.  You'll want to avoid drying your face out because it causes problems a moisturizer can't correct. If you've been using a cold cream - something that is wiped off, this will clogg your pores and leave a film on the skin.  That can interfere with the moisturizer you use then.  If you've read information on toners, you'll realize that if you have a greasy face, you won't want to degrease it with harsh cleansers and toners either.  The best way to choose a facial wash is to use a gentle, water-soluble cleaner that is for normal to oily (that includes combination skin if you tend to have more oil in some areas), or normal to dry (that includes combination skin if you have a tendency to have dry spots).

 

This type of cleanser does three things: (1) it washes off makeup without drying the face, (2) it contains no synthetic irritants such as synthetic fragrance, (3) it is gentle to the skin and doesn't require a washcloth to wipe off, you can splash it off, although some may still prefer a soft cotton cloth.

 

Not only are water-soluble cleansers the gentlest way to clean your face, but they are also the most efficient.  What about Eye Makeup Remover? Many wonder if it is needed? I do believe it is necessary.  Stretching the skin to remove mascara and shadow can stretch the skin's elastic fibers, and cause the skin to sag sooner than you'd like. So we definately recommend using one.  See our Information Library for articles on skin conditions.

Moisturizing creams for aging skin

With moisturizing creams, a gentle upward and outward massage should be employed to stimulate circulation of the blood, which will, in turn, nourish the skin. A gentle massage will also stimulate and strengthen the underlying muscle fiber which will help maintain the elasticity of the skin. However, do not massage too deeply; a gentle but firm motion is adequate for an aging skin which will no longer benefit from a strong massage.
After you have worked the cream well into your skin, spray some mineral water or rose water (keep it in an old, well-scrubbed Windex bottle) lightly over the face. It will help the cream penetrate and hydrate your thirsty skin at the same time.

Honey-Rose Moisturizing Cream

2 oz sesame oil (or 1 oz sesame oil and 1 oz rose0scented oil)
1 tbsp beeswax
1 oz rose water
1/4 tsp borax
1 tbsp honey
1 tsp liquid lecithin2-4 drops red food coloring

Melt beeswax over low heat. Warm oil, honey and lecithin together and dribble into wax beating constantly. Warm rose water and borax and, pouring slowly, beat into mixture until cool and creamy. Makes 3 oz. Refrigerate.

Coconut Moisturizing Cream with Vitamins A, D and E

1 oz wheat germ oil
2 tbsp anhydrous lanolin
2 tbsp cocoa butter
1 tbsp coconut oil
1 oz plus 1 tbsp coconut extract
2 tsp liquid lecithin
1/4 tsp borax
10 vitamin pills each vitamin A and D

Melt cocoa butter and coconut oil and add to warmed wheat germ oil, lanolin and lecithin. Beat together thoroughly. Warm extract and borax and, pouring slowly, beat into mixture until cool and creamy. Prick vitamin pills with a pin and squeeze into cream. Beat again until fluffy. Makes 3 oz. Refrigerate.

Blended Oils Moisturizing liquid

1 oz almond oil
1 oz wheat germ oil
1 oz avocado oil
1 oz coconut oil
1 oz castor oil
1 tbsp liquid lecithin
Heat all together and beat well until thoroughly mixed (don't be concerned if mixture becomes foamy). Cool and put in bottle. Refrigerate.

Vegetable Oil Moisturizing Liquid

Vegetable of your choice.

Face-Butter Moisturizing Cream

1 container any brand margarine

Margarine is already a solidified mixture of oils (note soy oil on the package) which works wonderfully as a moisturizer for woman who don't care to make their own.

Special Over-Night Moisturizing Cream

1 oz caster oil
1 oz coconut oil
2 tbsp anhydrous lanolin
1 oz wheat germ oil
1 tbsp liquid lecithin

Heat together and beat thoroughly (don't be concerned if mixture becomes foamy). Cool and pour into bottle

Simple and Powerful Diet Tips

In a perfect world, the only thing that you would need to do to reach your fitness goals would be work out occasionally. Unfortunately, the only way to truly get the body and level of health that you want is through the combination of diet and exercise.

The dieting right is the number one obstacle people face while trying to get fit, however filling your plate with healthy food doesn’t have to be a miserable experience.

Here are the best strategies I have found to keep people in shape.

Give Yourself Some Flexibility - If you box yourself into too strict of a diet, you are setting yourself up for failure. It’s true that that for most people if you want to lose weight, it is going to have to involve cutting back a bit on how much you eat, but if you allow yourself nothing but rice cakes and unbuttered wheat toast, you turn yourself into a ticking time bomb that will go off onto the nearest piece of cheesecake. Expect that you are going to indulge a little every now and then, and accept it.woman with measuring tape

Make Your Foods Easy to Make- I’ve discovered that most people eat junk food because it’s just so darn convenient. Microwaveable pizzas take three minutes to make, and there is a fast food joint on every corner who can give you a greasy pre heated burger in a matter of seconds. The only real way to counteract this is by making your healthy food just as convenient as unhealthy food.

For example, you might keep some whole grain tortillas in your cupboard so that you can make a quick and easy burrito with lean chicken or beans. You might also keep some frozen vegetables in your freezer, because they can be heated fairly quickly and be ready to eat. You may also consider buying lots of canned soups, because they take little time to prepare and are often very low in calories.

Find Ways to Combat Stress - Whenever someone has a relapse in their diet, it is usually during a particularly stressful time in their life. Maybe dealing with a toddler has kept them awake for much of a few nights or their new job is giving them a lot to worry about. This is when people start binging on French fries and ice cream. But if you want to conserve your waistline, you need to find other ways to combat stress.

To best way to deal with this by recognizing times when you might be getting stressed and react too it. If you find the pressure building up, find some time for yourself to do something that you really enjoy. Just half an hour of “me time” can make your diet go along a lot more smoothly.

Cut Out the Liquid Calories - If has calories and comes in a liquid form, try to limit your intake of it. The reason is that stuff like soda, alcohol, and milk can add a bunch of calories to you daily diet, but they never make you feel full. So you feel hungry even as you consume far more calories than you need. Focus mostly on whole foods and use tea or water to satisfy your thirst.

Don't Be Fooled By Marketing, Check For The Natural Seal!

With the demand for "natural" beauty products on the rise – such as lotions, balms and shampoos.
The manufactures are responding with a host of new beauty products, all labeled "natural".
The only problem is that some are natural and some are not.
So, how's a shopper to know if they're buying a "natural" product or not?
Until now, we had no way of knowing whether or not a product was truly "natural" (since there was no standard definition of the term used by the industry.)
Well, that's no longer the case.
To end this confusion and help consumers, the Natural Products Association just unveiled a new certification program that defines natural and includes an easily-identified seal. (See image)
You can expect the seal to begin appearing on certified natural beauty care products such as Burt’s Bees, Weleda, Aubrey Organics, Badger Balm, Farmaesthetics, and Trilogy Fragrances this summer.
These companies have volunteered (this is not a requirement by any federal agency), to join in with the Natural Products Association (the largest non-profit company in this arena) - because they got fed up with seeing other companies call their lines “natural” when they were anything but.
Actually, much of what we see on the shelves that says "natural", contains NOTHING natural…
The seal will help take the guesswork out of smart buying and educate consumers on what products are truly natural.
Products must follow strict guidelines set out by the Natural Products Association to merit bearing the natural seal.
The criteria includes, but are not limited to:
– 95% truly natural ingredients
– No ingredients with any potential suspected human health risks
– No processes that significantly or adversely alter the purity/effect of the natural ingredients
– Ingredients that come from a purposeful, renewable/plentiful source found in nature (flora, fauna, mineral)
– Processes that are minimal and don't use synthetic/harsh chemicals or otherwise dilute purity
– Unnatural ingredients only when viable natural alternative ingredients are unavailable and only when there are absolutely no suspected potential human health risks
So, don't be fooled when buying "natural" products, start checking for the natural seal this summer.

5/25/2008

Beat the Bloat

It is possible to be gas-free when eating healthy foods. There are three tricks to banning the bloat: 1) Keep a fiber log, 2) use over-the counter remedies right and 3) eat slowly.

Most Americans eat 12 grams of fiber each day. When you go on a health kick and rapidly increase your fiber intake, the change can be too abrupt for your body — fiber is difficult for the body to process, so when you suddenly start eating a lot of it, bacteria in your gut goes into overdrive to aid the digestion process, and produces gas. Because it takes your body time to get used to healthy, high-fiber foods, you have to add fruits, vegetables, beans and whole grains gradually. A good way to do this is to keep a food log on a typical day and count up how many fiber grams you normally eat. Then slowly increase your fiber by 1 to 2 grams every day or two until you hit 30 grams or more each day. To find the number of fiber grams in certain foods, look for “total fiber” amounts on food labels, and use websites such as calorieking.com. Once you’ve hit 30 grams, make sure you’re drinking plenty of water (at least nine 8-ounce servings daily), so that the fiber can pass smoothly through your digestive tract. Also, try to spread the 30 grams evenly throughout the day so your body has time to digest a small amount at a time. For example, you might eat 10 grams at breakfast, 10 at lunch and 10 at dinner.

In addition to upping your fiber intake slowly, using over-the-counter enzymes (such as Beano) in pill or liquid drop form can work wonders — they help us break down and digest foods, which reduces gas and bloating. The trick is to take enzymes at the right time and in the right amount: They must be taken right before your first bite of food (if you take enzymes later in your meal, they won’t have enough time to work). For every half-cup of gas-forming food you need one pill or five drops; so, for most meals, you have to use two to three pills or 10 to 15 drops.

Another very important and often-overlooked way to reduce gas and bloating is to eat slowly and chew your food thoroughly. Chewing is actually the first step in the digestion process. If you don’t slow down and chew well, large pieces of swallowed food are more difficult for your stomach enzymes to break down, which can lead to feelings of bloating and gas. Take 15 to 30 minutes to eat meals and chew your food well, until it has an applesauce-like texture in your mouth.

If you keep a fiber log, use over-the counter remedies correctly and chew well, you will be able to tolerate and enjoy a healthy diet with much less bloating, gas and uncomfortable distention. But if you follow this advice and still have trouble with gas, talk to your doctor and consider seeing a registered dietitian to review your diet. You can find one in your area at eatright.org.

Cross-Training for Beauty Fitness

Cross-training is the act of doing a variety of activities in order to condition the body. I highly recommend it to everyone!

"Cross-training" is currently a big buzzword in the wellness world because some high-profile athletes are reaping its rewards, from tennis star Maria Sharapova (she practices yoga in addition to the hours she spends on the court), to Olympian Sasha Cohen, who credits her one-on-one Pilates training for creating an "injury-proof" skating physique. I recently spent a weekend in Lake Placid, New York, home to an Olympic Training Center. One thing I noticed is how much the athletes cross-train. The crew team goes running, the figure skaters take ballet, the downhill skiers train in the weight room — all excellent examples of cross-training. They're no dummies: Cross-training does a body good! Studies show that the mind and body stay fresh and responsive with variety in movement.

Many people think they are in great shape, but because they focus solely on one activity, whether it's running or cross-country skiing, they may be fooling themselves. In fact, they might be setting themselves up for physical injury: When the body does just one type of activity, the physical challenge tends to wane over time and the lack of variety in movement creates muscular imbalances that make it easier to get hurt.

By combining walking and strength training, you are already tapping into the powers of cross-training, but you can definitely take it a few steps further. First, try varying the duration and intensity of your cardio workout. A simple example of duration variance might be something like this: On Monday, walk around the track for 30 minutes, then on Wednesday make it 60 minutes. As for intensity, try an uphill hike one day, and then return to a steady-paced walk around the track the next.

The second thing you can do to enhance your cross-training is to think outside the box about strength training. It doesn't always have to be traditional lifting (using free weights or Nautilus equipment) — it could include other strengthening techniques like Power Yoga or mat-based Pilates. And when you do use those free weights, try varying the routine by targeting the lower body one day and the upper body the next, and maybe training the entire body in one long strength-training workout once a week. The sequence of exercises, the number of repetitions and the pace at which the reps are performed should be dynamic. As with changing up the cardio, this will challenge both your body and mind, and keep things exciting.

The third thing you can do to enhance your fitness routine with cross-training is to take up a new sport. Tennis, Ultimate Frisbee, horseback riding, surfing ... pick something that interests you and go for it! Even if the activity is "lite," like golf or cricket, the hand–eye coordination, balance and body-awareness practice are all valuable pieces of the fitness puzzle. Last winter, I took up paddle tennis and had a ton of fun — plus, it spiced up my fitness routine.

Cross-training keeps your workouts fresh, which is key to keeping up your fitness mojo.

5/24/2008

Bathing Suit Tips for Body Flattering Swimwear for Women and Teen Girls

 


Every year, it happens. Bathing suit weather arrives, and with it, sales on swimwear (or for some, suntan wear.) The good news is, the variety has never been greater. The bad news, the variety and decisions have never been greater.

Decisions, decisions. Now it seems there is a bathing suit for every type of woman or situation as there are mastectomy suits, maternity swimsuits, plus-size swimwear, suits for tall or petite women. And then the real decisions start.

Do I want a one piece, two piece bathing suit, bikini, or tankini. Should it be slimming, help camouflage (you know) with an underwire, or be one of those what they call miracle suits. Should I be bold and go with something hot, sheer, sexy, exotic as in something skimpy like a thong or brazilian g string. Do I splurge and look for a brand name designer like Tommy Hilfiger, Victoria Secret, Anne cole, or sporty with Nike or Lands End. Or do I do as I always do and look on the discount rack or wait for my bathing suit pick to go on sale. And lets not forget color, black, white, floral or florescent. Decisions decisions.

What womens swimsuit fashion is best and most flattering for your body type
Apple shaped body frames have broader shoulders and smaller hips. Two-piece bikinis or tankinis with a solid color top and a patterned bottom will give you a more balance appearance.

Pear shaped body types have larger hips and smaller shoulders with a waist that is larger than the shoulders. One-piece bathing suits with tummy control or other design feature that create the illusion of a waist line will be the most flattering.

Small Bust - To enhance a smaller bust try a halter bikini top that has a seam just under the bust line or a lightly padded or line top. Swim wear with texture can also help detract attention away from your bust line if you feel self-conscious.

Fuller Bottom - Skirted swim suits are back in style and can be found in many different patterns and styles. The skirt flatters a fuller bottomed body type and will give you a more balance look. You may also want to try on a few boy short styles as well. Both of these options offer a little more coverage on the bottom.

Slender, athletic bodies have shoulders, waist and hips that are the similar in width. One-piece or two-piece suits with detailing around the waist will help create a more hourglass shape. Try a wrap style top or a belted bathing suit bottom to create more waist definition.

Hourglass figures have balance shoulders and hips with a smaller waist. If this is you, you're lucky because just about any classic styled bathing suit should flatter your figure.

Buying a swimsuit is about perception
Buying a swimsuit has a lot to do with beauty because it’s more about perceptions than it is actual good looks. The fact is, with the right attitude, nearly any woman’s swim suit will look good to men, provided there’s a woman in it. Other women are much pickier about what suit looks good on what body, and the worst critic of all is that chick in the mirror. I have a few beauty tips about bathing suits and bikinis, which I will pass on to you in the hopes that they will inspire confidence. Some of them are just theoretical for me, and others I use whenever I shop for a suit. Use what works for you.
How much are you willing to spend for designer swimwear?
Like good shoes, good bathing suits cost money. You’re paying for design here, and for things like built-in controls or enhancements. Thanks to the fairly recent craze for selling binkini tops and bottoms separately, retailers have found they can charge a lot more for a whole suit than they could five or six years ago when bottoms and tops were inseparable. On average, a decent suit will cost you around $60. On the other hand, if you have a great body, it doesn’t matter if your suit is cheap because you don’t have anything to hide. Just make sure you buy something that won’t come apart when it hits the water.
When to buy a cheap swimsuit.
If you’re only going to wear a bathing suit the three days you go to the beach each year, or for sunning in the back yard, you can go cheaper too. In fact, there’s no reason not to wear a pair of shorts and a bathing suit top or even a camisole or tank top. It’s crazy to spend a lot of money for a suit you aren’t going to wear.
One piece or two piece bathing suit? Who will be looking or who do you want looking?
A shy friend of mine went to Mexico, and because she was very modest and didn’t feel very pretty, she wore a pair of men’s trunks and a bikini top in the pool at the hotel. A Mexican fellow who frequented the pool told her that if she wanted to blend in, she’d better drop the trunks and wear bikini bottoms. She did, and they went dancing several times after that. She came home with a golden tan and a happy expression.

Comfort is important, and depending on the beach or pool scene, either no-one will notice you at all, or everyone will be watching everyone else. If it matters to you, or if your boyfriend’s ex is going to be at the party, fork out the big money and look great, even if you only wear that suit that one day.

How much coverage do you want from your beach wear?
Crucial to the question of bathing suits is coverage. Again, the nicer your body, the less coverage you need, unless you’re shy or you’re smart and want to save your skin from sun damage. You can apply sunscreen and sunless tanner and have a beautiful glowing tan without the sun exposure. Just be sure to evenly distrubute and don't over apply the self tanner and end up looking a shade or orange. If you plan to be swimming or playing volleyball or surfing, you may want more coverage because a suit that covers more of you also tends to hang on, where flimsier, actually make that skimpier, things might fall off or out.

With board shorts, boyshorts and hipster bikinis, we can buy suits that fit even in the middle of a plus size day or PMS fat attack. A well-cut one-piece can hide and camoflauge an assortment of figure flaws. Contrary to what some experts will tell you, large floral designs do not minimize a heavy body, and you don’t have to wear black either. Depending on where the chubbiness lies, a smaller-coverage suit may turn out to be more flattering than the high-coverage suit you didn’t want to buy anyway. No one can possibly see all the lumps and bumps as the girl in the bathing suit in the mirror does, so pick the least worst suit you can find, and get out there and play!

How To Makeup Japanese Eyes

The oriental look has changed significantly over the years. While some Japanese girls have mimicked western styles, others have gone the opposite direction, preserving the oriental mystique.

Eyes are a prominent feature on a face and getting them right is vital.

Before application of any eye make up, you have to make sure eyelashes are curled, which prevents make up from smudging as well as reducing the chances of them breaking. An eyelash comb can be helpful.
Black mascara, as well as eyeliner, helps to enhance the almond features most oriental girls have. Mascara, liberally applied to both the upper and the lower lashes, makes the eyes stand out. Apply extra coats on the outer lashes to make them even more prominent.

This radiates a sense of sophistication with a breeze of modern day life.

Liquid eyeliner should only be used if one is going for a bold, more dramatic look. Apply it carefully to both uper and lower lids, with the line extended slightly beyond the outer corner. The line is slanted upward at the outer corner and slightly downward at the inner corner to create almond-shaped eyes.

When applying more than one color of eye shadow, you should start with the darker color closer to the lash line and work away from it.

If you have smaller eyes, brown or gray eyeliner would make them look bigger and black eye liner, as well as other darker colors, make eyes look smaller.
Contrasting your eye color to eye shadow helps bring out the color in the eyes and matching the colors will drown them out, so not a good idea.

As a general rule, it’s worth bearing in mind that less is sometimes more.
For night time look a mixture of a dark light and medium colored eye shadow in graduated tones makes you look more radiant.

To add definition to Asian eyes, you could add a medium tone across the lid and brow bone.
Dusting under the brow with a lighter tone will further highlight the eyes, then use a pencil to highlight the lower and upper lash lines.

Eyebrow color should always be darker than the lid color, it shouldn’t be a different color altogether but just a slightly different shade.
Do not create hard edges, color should gradually move from one color and just flow into another without prominent differences.

Greasy products, although very nice to look at, should be avoided, as they tend to smudge more easily, so on a practical level not very workable.
Although eyes are a very prominent feature, a good foundation is very important.
For most Japanese girls, a yellow based foundation will be a good starting point in getting the overall make up right.

Going for a darker or too light a foundation will create a mask like effect.
In choosing a foundation, it is important that you use the face to test for color because skin texture on your hand and face could be different to that on your face.
Handy hint : Apply make up after you are already dressed, otherwise you run the risk of smudging some of your handy work.

When Is My First Period Coming?

Since you first heard the word "period," you've probably been wondering what it is and when you'd get your first period. Although most girls get their first period between 11-14 years old, you could start your period anywhere from 8-17 years old.

You could narrow that down by taking clues from your body. During puberty, when your body becomes sexually mature, you'll have some of these changes that show your period's on its way. (By the way, these changes may happen in a different order than listed here.)
Developing Breasts. First, you'll get breast "buds". (Your breasts then can take up to 3-4 years to fully develop.) Generally you will get your period 2-3 years after your breasts start developing.

Growing Pubic Hair. Right after your breasts start to form, you'll start developing pubic hair. It will be soft and thin at first, then gradually become coarser. Your period usually arrives around 1-2 years after the hair development.

Discharge. This is the big sign. You'll start to experience vaginal discharge that will be either white or yellowish. If you like, you may want to start using Alldays Pantiliners to protect you underwear. You period should start around 6-12 (but up to 18) months after the start of discharge.

There's one more way to figure out when you'll start menstruating: Ask your mom. You'll probably get your period within a year or so of when she got hers.
Since you'll only have a general idea of when you'll get your period, you might want to do some planning.

Most girls will use pads at least for their first period. Your first period will probably be fairly light so Always Thin Maxi Regular or Always Thin Ultra Regular would be a good choice of pad. If you are physically small, you may want to consider Always Thin Ultra Slender. It's a good idea to keep a pad or two hidden in your locker at school, and carry another in your backpack. This way you won't be caught off guard when it does happen.

Relax, you will get your period, and you'll have them for a long time!

Menstrual Period - How to Deal with Periods

Women shouldn't "curse" their periods, they should celebrate them! Why? Because they are a positive sign of health - and not just gynecological health but of general health.
Getting your period is a minor miracle of biology. It means that your pituitary gland (in the brain) must send chemical messengers to your ovaries at the right time, and when your ovaries get the message they must produce their hormones on schedule. In order to make and store the hormones, you must have a critical level of cholesterol and of body fat. So, if you get a period, you know that some important things are right with your body.
Periods are not only a sign of gynecological health; they tell you that you are producing adequate amounts of the very important hormone, estrogen. Hundreds of cellular functions throughout the body are affected by estrogen. When estrogen levels are too low, women may get menopause-like symptoms: hot flashes, urinary frequency, and vaginal dryness. More importantly, young women, who are in the bone building phase of their lives, need estrogen and other elements for this to occur. If estrogen levels stay too low for months or years, you may begin to LOSE bone, particularly in your hips and spine. Estrogen also has many protective effects in arteries and skin and there is growing evidence of benefits to the brain.
Periods also tell you that you are probably producing enough androgens, including testosterone (which is often thought of as a male hormone but is normally produced in females too). Too little testosterone can negatively affect bone, muscle strength, and sex drive and response.
When you first start menstruating you may have an irregular menstrual pattern. This is normal. It may take as long as two years before it regulates. You may wonder why a woman, who already has a regular cycle, might experience menstrual irregularity, or why she might stop menstruating altogether. The most common reason for cessation of periods is pregnancy. But if this is not the situation, there are many other conditions that may be to blame. Some common causes are anorexia or even prolonged, intense dieting and/or very intense exercising. As mentioned above, women need a certain amount of body fat for adequate hormone levels; being ultra lean can create medical problems for women. Other causes of lack of periods, such as thyroid or pituitary irregularities, require investigation by a doctor.
We don't want to alarm women whose periods are irregular or who skip a period altogether now and then. You should probably consult a doctor if you normally menstruate every month and find that you have missed two periods in a row. Most likely you will be told that everything is okay. It may turn out that you are having a cycle in which no egg was released and your doctor may suggest taking progesterone (another female hormone) for 12 days to induce a flow. If no progesterone is taken, your next period could be very heavy.
Last but not least, remember that your period is one aspect of being a female, something we hope you can celebrate even more often than once a month.

So What Are Pantiliners?

Sometimes you need a little extra protection. And that's why there's Always Pantiliners. Wear them every day for slight urine loss, to capture light discharge, during the light flow days of your period, or even as a backup to tampons. They help absorb and lock dampness and odor away from you so you stay fresh and clean all day, every day.
Always Pantiliners are available in five sizes – Thin, Regular, Long, Maximum Protection and Thong – and their small, thin shape fits comfortably in many types of panties. Always Pantiliners – For An Everyday Clean Feeling.
Dri-Weave™ Cover — Our soft Dri-Weave topsheet helps keep you comfortable, clean and dry
LeakGuard™ Core — Our LeakGuard Core absorbs fluid quickly to help keep you dry
Barriers — Help pull fluid deep into the middle of the pad and away from the edges
Breathable Odor Lock Layer — Helps lock odor away, without perfumes and deodorants
Release Tape — Perfect for neatly and discretely rewrapping the liner for disposal

5/09/2008

Women VS Men :10 Differences that make difference

When it comes to health, there are many crucial health differences between men and women. Yet many women do not know that they react differently to some medications, are more vulnerable to some diseases, and may have different symptoms. The Society for Women’s Health Research brought attention to sex differences in initiating the groundbreaking 2001 Institute of Medicine report, Exploring the Biological Contribution to Human Health: Does Sex Matter? The report underscored the need to better understand the importance of sex differences and translate that knowledge into improved medical practice and therapies.
Following are some quick but vital facts about sex differences in health care that you probably did not know.

Heart Disease – Heart disease kills 500,000 American women each year – over 50,000 more women than men – and strikes women, on average, 10 years later than men. Women are more likely than men to have a second heart attack within a year of the first one.

Depression – Women are two-to-three times more likely than men to suffer from depression in part because women’s brains make less of the hormone serotonin.

Osteoporosis – Women comprise 80 percent of the population suffering from osteoporosis, which is attributable to a higher rate of lost bone mass.

Smoking – Smoking has a more negative effect on cardiovascular health in women than men. Women are also less successful quitting smoking and have more severe withdrawal symptoms.

STDs – Women are two times more likely than men to contract a sexually transmitted disease, and more likely to experience significant drops in body weight, which can lead to wasting syndrome.

Anesthesia – Women tend to wake up from anesthesia more quickly than men – an average of seven minutes for women and 11 minutes for men.

Drug reactions – Even common drugs like antihistamines and antibiotic drugs can cause different reactions and side effects in women and men.

Autoimmune Disease – Three out of four people suffering from autoimmune diseases, such as multiple sclerosis, rheumatoid arthritis, and lupus, are women.

Alcohol – Women produce less of the gastric enzyme that breaks down ethanol in the stomach. Therefore, after consuming the same amount of alcohol, women have higher blood alcohol content than men, even allowing for size differences.

Pain – Some pain medications (known as kappa-opiates) are far more effective in relieving pain in women than in men.

5 Food Myths

1. A high protein diet is the best weight loss diet!Consuming too much protein, whether from foods, proteins supplements or powders can make you dehydrated. They also put a major load on your kidneys: your body can not store excess protein so it has to be broken down, the excess like everything else is stored as fat. Your kidneys need more water to eliminate the extra nitrogen from the body which inadvertently dehydrates you.

2. Carbohydrates are fattening!Carbohydrates are only 4 kcal/gm. Fats are 9 kcal/gm. That makes carbohydrates a low calorie source of energy. What you decide to put on your choice of carbohydrate makes it fattening. A baked potato is a low fat food until you add butter, sour cream, cheese and bacon bits- now it is a high calorie, high fat food. So limit your fats and fuel up on complex carbohydrate rich foods - they will fuel you to be more active!

3. Red meat is bad for heart health because it increases cholesterol.We need approximately 300 mg of dietary cholesterol each day. A small serving of lean, red meat can easily fit within that cholesterol limit and is preferable to the egg based vegetarian meals such as quiches and omelets that contain far more cholesterol. Small portions (3-5 oz) of lean meats such as spaghetti and lean meat sauce, stir fried sirloin strips with veggies, or thinly layered roast beef sandwich, provide not only protein, but also iron and zinc, two important minerals for optimal health and performance.

4. Skipping meals will help me lose weight.Often, skipping meals during the day will leave you feeling ravenous by the time you get home, and healthy food choices go right out the window! The best way to lose weight healthily is to keep up with your training program, eat nutritious, lower fat (less than 30% of total calories), complex carbohydrate meals during the day, pay attention to adequate post workout nutrition and keep hydrated throughout the day.

5. I should not eat at least two hours before I exercise.Can you exercise on an empty stomach? Some of us can and others can't. Individual preference is a key player in the food/exercise combo. If you are one of those frequent feeders that has to eat something right before you exercise, that's okay. Just follow these guidelines: choose something rich in complex carbohydrate, low in fat and protein, and preferably liquid if it is within the hour before exercising. Stick to your own tried and true favorites.

Accept Your Body and Learn to Have a Positive Self Image.

Because thin females and muscular males are seen as the ideal in our society and because we have come to believe that body size and shape are totally under a person's control, most people enter diet and exercise programs with unrealistic goals and expectations. If you continually strive to achieve a socially imposed ideal, you will never be free of your insecurities or your self-consciousness. You must truly realize and then learn to accept that we are not all meant to be fashion-model size.

Our body size and structure reflects not only our eating and exercise habits but also our genetics. The role this latter factor plays in determining weight seems to vary greatly between individuals. We are all born with a certain body type inherited from our parents. Although hardly anyone is a pure body type, there are three different applicable categories: ectomorphs, mesomorphs, and endomorphs.Characteristically, ectomorphs have a light build with slight muscular development. They are usually tall and thin with small frames and narrow hips and shoulders.Mesomorphs have a husky, muscular build. They often have broad shoulders, and their weight is concentrated in the upper body, making them look compact or stocky.Endomorphs are characterized by a heavy, rounded build with shoulders usually narrower than their hips. They have a round, soft appearance and are more often overweight or obese.

When we understand and appreciate our bodies, we are able to work with them, not against them. Although many of us are a combination of two body types, we cannot become what we are not. However, everyone can improve their appearance and their health and performance levels by implementing the principles of a safe and effective eating and exercise program.Even if you have a genetic predisposition to being overweight, the way you live is what ultimately determines whether you become fat. Genes clearly play a role, but they certainly don't determine what you're going to have for dinner or how often you exercise. Chances are if you're living an unhealthy lifestyle, you'll become fat and unhealthy.All of us can't be thin. But every single one of us can be healthy. By focusing on what you're eating and how much you're exercising, you'll be able to achieve optimum health and fitness, even though you may not achieve society's ideal of thinness. Accepting yourself does not mean that you're hopeless and that it's okay to do nothing. It means that you feel good and care about yourself, and that you want to be the very best you can be, regardless of your genetics, regardless of society's standards.

To achieve this level of optimum wellness, you must have a positive self image. This means that your feelings about your body are not influenced by events in your daily life. For many people, life's problems are projected onto their body. "If only I were thinner--or more muscular, I would have made the team, gotten the job, been chosen. . . . If only I were thinner--or more muscular, I could meet more people, find the right guy/girl, be happy." This self-defeating habit is reinforced by the images we see in advertising; your body becomes an easy target for everything wrong in your life.When you have a positive self-image, you value and respect your body; you are also more likely to feel good about living a healthy lifestyle.

No matter how much genetics predetermines how you store and lose fat, the body you've been given will still respond positively to being appreciated and treated well. Focusing on fun physical activity and eating healthy foods will help you feel good whatever your size. Developing a healthy, positive image of yourself is the first critical factor in your fitness success. Having a strong sense of self-worth provides the basis for making rational and affirming decisions about your health. Good luck, stay positive, and enjoy all the wonderful benefits of a healthy, active lifestyle

5/07/2008

12 Beauty and Fashion Essentials for 2008 Color



Welcome to the first installment of 12 Beauty and Fashion Essentials for 2008. In this ongoing series, you will discover your own personal style for 2008 and bling -- ring in the new year with confidence and a twist of sass.
Starting with a clean slate like the quintessential Diane von Furstenberg wrap dress that any body type can wear, let's add a bit of panache to this lovely but mundane dress with color. Bright teals, blues, hot pinks, emerald greens, oranges, and purples have been fashion forward in 2007 and will continue their journey in 2008. The Michael Kors tote would add the needed personality to this look. Accenting any part of your basic wardrobe with a vivid color will put you on the cutting edge of fashion.
Although discovering your personal color vocabulary is one avenue to explore, all colors will morph you into a fashionista. When I discovered what colors complemented my hair and eyes the best, I got stuck in a color rut. I deafened my friends for longer than I want to admit with a stuttering symphony of vibrant pinks and blues. The naked truth is that any lively color will add that little extra je ne sais quoi. If your hair is your best asset, wear a colorful sweater or scarf. If your svelte waist is your best asset, wear a vivid belt. Just remember that color draws attention to you, so put it near your best feature.While you are shopping the after-Christmas sales look for colorful accessories that add something exciting to your existing wardrobe. By adding a pop of color in your choice to this Diane von Furstenberg black dress defines your style personality. It is what I call classic with a twist. (As an aside, I love Diane's designs. They work for skinny minnies like me and weight-challenged women, too.),Choosing either shoes like the BCBGirls pink sandal , the Imooi punch necklace from 2Modern, or the Bergdorf Goodman Carlos Falchi fuchsia matte croc clutch adds the needed punch of color to this wardrobe staple.
This delightful Tory Burch tangerine ballerina flat is all the color that is required to jazz up the otherwise routine everyday straight leg jeans.
Rings, earrings, hats, and glasses in bright colors are also a perfect accent to an otherwise clean black slate, BUT don't go color crazy and make others hyperventilate when you walk into the room. One or two small pieces or one large piece in a bright color is all you need. Once you've incorporated color in small amounts, you can try adding accent pieces like jackets and sweaters.
Have a little fun with color in 2008 and define your own style and spirit. It may be all you need to fend off the winter blues.

10-tricks-to-help-you-get-your-beauty


Girls, are you having a difficult time getting your beauty sleep? We all know that lack of sleep -- ugly sleep -- can cause dull skin, dreary eyes, weight gain, diminished immune system, foggy thinking, bad moods, and depression. Lack of beauty sleep is a bona fide health problem. Believe me, both of us have had a lot of ugly sleep.A lot of our ugly sleep is that we can't turn our brains off at night. Phyliss Zee, professor at Northwestern University's Sleep Disorders Center, has documented this by use of brain scans.
"Scans of metabolic activity in the brain show that people who suffer frominsomnia have more activity than people without sleep problems when they'retrying to get to sleep."
So how do we girls and women calm our brains so that we can get the seven to nine hours of beauty sleep?
If you're prone to worrying, your body produces epinephrine, which helps to keep you awake. Try to replace your worries with a pleasant thought. I have a happy place that I always go to in times of stress: With the warm sun stroking my back, I am sitting on a beach chair while the waves kiss my toes. I have had my blood pressure taken before and after my trip to the "happy place" and it truly does reduce my blood pressure numbers.
Another trick that always helps me is a warm bath an hour before bed, indulging my skin in an after-shower cream-fest, and slipping into a pair of lightweight PJs.
You should try to get 30 minutes of moderate aerobic activity each day. Studies have shown that 30 minutes of brisk walking can improve sleep about as well as the pre-Ambien sleeping pills.
Make your bedroom as dark as possible -- turn off the television, laptop, and cover the alarm clock. Light keeps your brain chronically aroused. If you sleep with a television addict like I do, this can be difficult. Around midnight, I end up sleep-walking to the guest bedroom for the rest of my beauty sleep.
Reduce your caffeine intake. Eliminating caffeine can really help your body and brain relax. Because caffeine stays in your body up to eight hours, try to eliminate your last dose before noon.
Reduce your alcohol intake. The nightcap will lull you into thinking it is helping you get your beauty sleep, but about four hours after it clears your system, the brain becomes hyperaroused and wakes you up. This is your brain on ugly sleep.
Reset your body clock. You need 20 minutes of bright light within 15 minutes of awakening in order for your melatonin levels to drop. Your melatonin will continue to be suppressed for about 12 hours and then start to rise. Approximately 16 hours later, you are ready for your beauty sleep. I use a light box which not only helps with ugly sleep but also with seasonal affective disorder.
Sleeping pills are good for a short-term problem. Ambien, Lunesta, and Sonata bind with receptors in the brain that trigger sleep. The National Institutes of Health found that sleep induced by a sleeping pill was only increased by 11.4 minutes. At $3 to $4 a pop. that is an expensive 11 minutes. I have used Ambien in the past and it helped me get through a menopausal sleeping problem.
Cognitive behavioral therapy. Participants learn that it is normal to awaken every 90 minutes or so. Knowing that you are normal, reduces the worry, hence, the production of epinephrine.
Restricting your sleep. This is for the woman who lies in bed for eight hours and sleeps five. Calculate how much time you are actually sleeping. If you only sleep five hours, stay in bed for four hours. Gradually add an additional 15 minutes that you spend in bed each night. You will be so sleep-deprived that your need for sleep will become stronger and stronger.